
"อุ๊งอิ๊ง" แพทองธาร ชินวัตร บุตรสาวคนสุดท้องของ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ถูกแสงสปอร์ตไลท์ส่องอีกครั้ง หลังที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร โหวตมติเสียงข้างมากให้ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 31 ของประเทศไทย พาไปส่องการลงทุนในบริษัทต่างๆของ "อิ๊งค์" รวม 20 บริษัทมูลค่ารวมกว่า 8,345 ล้านบาท
ตรวจสอบข้อมูลการถือหุ้นของ “แพทองธาร ชินวัตร” ผ่าน Creden Data ผู้ให้บริการวิเคราะห์ข้อมูลบริษัทครบวงจร พบว่า “แพทองธาร” ถือหุ้นใน 20 บริษัท มูลค่ารวมกว่า 8,345 ล้านบาท โดยมีการกระจายการลงทุนในหลากหลายอุตสาหกรรม แต่เน้นหนักไปที่ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ดังนี้
1. ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และการพัฒนา
การถือหุ้น:
2. ธุรกิจโรงแรมและการท่องเที่ยว
การถือหุ้น:
รวมมูลค่าการลงทุนในธุรกิจโรงแรมและการท่องเที่ยว: ประมาณ 299 ล้านบาท
3. ธุรกิจสนามกอล์ฟและนันทนาการ
การถือหุ้น:
4. ธุรกิจการแพทย์และสุขภาพ
การถือหุ้น:
5. ธุรกิจลงทุนและการเงิน
การถือหุ้น:
6. ธุรกิจบริการและอื่นๆ
การถือหุ้น:
รวมมูลค่าการลงทุนในธุรกิจบริการและอื่นๆ: ประมาณ 191 ล้านบาท
อย่างไรก็ตามการก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งทางการเมืองสูงสุด อาจส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจของแพทองธาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็นเรื่องการถือหุ้นในบริษัทต่างๆ
มาตรา 187 ของรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 ได้บัญญัติไว้ว่า รัฐมนตรีต้องไม่เป็นหุ้นส่วนหรือผู้ถือหุ้นในห้างหุ้นส่วนหรือบริษัท หรือไม่คงไว้ซึ่งความเป็นหุ้นส่วนหรือผู้ถือหุ้นในห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทต่อไปตามจำนวนที่กฎหมายบัญญัติ และต้องไม่เป็นลูกจ้างของบุคคลใด
โดยจากนี้ "แพทองธาร" ได้รับเลือกเป็นนายกรัฐมนตรี จะต้องดำเนินการ แจ้งประธานกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ภายใน 30 วันนับจากวันที่ได้รับแต่งตั้งโอนหุ้นในบริษัทต่างๆ ให้แก่นิติบุคคลซึ่งจัดการทรัพย์สินเพื่อประโยชน์ของผู้อื่น (Blind Trust)
ไม่เข้าไปเกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการหุ้นหรือกิจการของบริษัทที่เคยถือหุ้นไม่ว่าในทางใดๆ
นอกจากนี้ ข้อกำหนดเรื่องการถือหุ้นนี้ยังครอบคลุมไปถึงคู่สมรสและบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะของรัฐมนตรี รวมถึงการถือหุ้นที่อยู่ในความครอบครองหรือดูแลของบุคคลอื่นไม่ว่าโดยทางใดๆ ด้วย