
11 สิงหาคม 2567 ช่วงบ่ายวันนี้ (11 ส.ค.) นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล ลงพื้นที่ จ.ราชุบรี เพื่อช่วย นายชัยรัตน์ ศักดิ์อิสระพงศ์ ผู้สมัครนายก อบจ.ราชบุรี หาเสียงเลือกตั้ง ซึ่งการลงพื้นที่ครั้งนี้ ถือเป็นการลงพื้นที่ครั้งแรกของนายพิธา หลังศาลรัฐธรรมนูญตัดสินยุบพรรค และตัดสิทธิทางการเมือง แล้วมีการตั้งพรรคประชาชนใหม่ซึ่งจุดแรกไปที่ ตลาดนัดเกษตรกร ตำบลบ้านสิงห์ อ.โพธาราม
ซึ่งจุดนี้ มี กาย ณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ สส.พรรคประชาชน และ อมรัตน์ โชคปมิตต์กุล ร่วมลงพื้นที่ในครั้งนี้ และขึ้นรถปรายศรัยเพื่อขอคะแนนเสียง ซึ่งมีพ่อค้าแม่ค้า ออกมาต้อนรับ ให้กำลังใจและขอถ่ายรูป ใช้เวลาเดินประมาณ 1 ชม. ก็เดินทางมาต่อที่ เวทีปราศรัย ริมน้ำบ้านโป่ง อ.บ้านโป่ง จ.ราชบุรี โดยมีประชาชนชาวราชบุรี มาให้การต้อนรับและรอฟังการปราศรัยจำนวนมาก รวมถึงต่อคิวขอถ่ายรูป
นายพิธา ขึ้นเวทีปราศรัย กล่าวแซวว่า "ทำไมพรรคยุบคนไม่ยุบเลย ทำไมพรรคยุบแล้วคนยังโปร่งอยู่ เป็นเพราะคนบ้านโปร่งรึเปล่า" จากนั้นเริ่มต้นแนะนำตัวว่า "ผมพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ผู้ช่วยหาเสียงของพรรคประชาชน ไม่ใช่หัวหน้าพรรคอย่างที่เขาบอกเดี๋ยวซวยอีก แล้วร้องไห้ก็เป็นเรื่องปกติ ไม่มีอะไรต้องหน้าอาย ร้องไห้ด้วยความภาคภูมิใจจะเป็นอะไรไป"
วันนี้ตนมาในฐานะผู้ช่วยหาเสียง อยากจะบอกเล่าแต่ละเรื่อง เหลือเวลาอีก 20 กว่าวันก่อนจะถึงวันสำคัญ 1 ก.ย.ที่ชาวราชบุรีออกไปกำหนดอนาคตตัวเอง และวันนี้ก็หลงรักชาวราชบุรี ไปแล้ว ซึ่งหลังจากนี้ตนเองคงมาอีก 3-4 ครั้ง
นายพิธา บอกว่า วันนี้มีเรื่องที่อยากจะขอประชาชนให้กับพรรคประชาชนว่า วันที่ 1 ก.ย.มีการเลือกตั้งนายกอบจ. คนเก่าเขาลาออกไป แต่ก็กลับมาสมัครใหม่ตนเองก็ไม่เข้าใจทำไมไม่ไปเลี้ยงลูกเลี้ยงหลาน แต่ก็ไม่ว่ากันเพราะเราก็มีของดีที่จะสู้ เพราะชัยรัตน์ มีอุดมกาณ์พรรคก้าวไกลแน่นอน เข้าใจความเจ็บปวดราชบุรีเป็นอย่างดี เพราะฉะนั้นนั้นวันที่ 1 ก.ย.ขอส่งสัญญานไปยังชาวราชบุรีทั่วประเทศและทั่วโลก ให้กลับมาเลือกตั้ง
ทั้งนี้หากฟังแล้วเห็นด้วยกับวิสัยทัศน์ ให้ไปบอกต่อ ใครมีพ่อบอกพ่อ มีแม่บอกแม่ มีแฟนบอกแฟน แต่คนที่พูดยังไม่มีแฟน กลับไปบอกว่าวันที่ 1 ก.ย.เป็นวันสำคัญ ให้ไปเลือกตั้งกันเยอะๆ เพราะปี 66 ให้อดีตพรรคก้าวไกลมาเป็นอันดับ1 กว่า 2 แสนคะแนนถล่มทลาย เพราะราชบุรีรักประชาธิปไตย และตอนเลือกอบจ.ปี 63 หายไป 1 แสนคะแนน แม้ตนเองจะมั่นใจแต่ก็ไม่ประมาท จึงอยากให้ไปบอกให้ทุกคนกลับมาบ้าน มากินข้าวด้วยกันแล้วไปเลือกตั้งวันที่ 1 ก.ย.กันเยอะๆ
นายพิธา กล่าวต่ออีกว่า สัปดาห์หน้า ตนเองจะมาบอกอีกทีว่าทำไมต้องเลือกนายชัยรัตน์ และพรรคประชาชน แต่ในฐานะที่เป็นอดีตพรรคก้าวไกล มีประสบการณ์ส่วนตัวในการทำงานกับ "เท้ง" นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรค และ นายศรายุทธ ใจหลัก เลขาธิการพรรคฯ ถ้าประชาชนยังไม่ได้เป็นคอการเมือง และยังไม่ได้ติดตามเขา ประโยคเดียวที่จะทำให้รู้จักเขามากขึ้น
"ณัฐพงษ์ เขาคือเอไอทางการเมือง คือเอไอที่มีหัวใจ เขาจะเป็นคนที่จะใช้ระบบเทคโนโลยีมาแก้ไขผัญหาให้กับประชาชนแน่นอน เขาเป็นคนที่รู้ลึก สุถาพ เข้มแข็ง นิ่ง พูดน้อยต่อยหนัก และเรียนรู้ได้เร็วมาก" นายพิธา ระบุ
พร้อมยกตัวอย่าง เช่น ตอนมีวิกฤตโควิด ต้องวิ่งหาโรงพยาบาลหลายโรงพยาบาลกว่าจะตรวจโควิดได้ คุณเท้ง มาบอกว่ามันมีอีกแบบเรียกว่า ATK ซึ่งหมอและรัฐบาลบอกใช้ ATKไม่แม่นนำ แต่ตนเองเลยให้โจทย์เท้งไปว่า ต้องแยกปลาออกจากน้ำ เริ่มจากชุมชนของคุณ ปรากฎว่า พอเริ่มทำก็เจอแล้วก็ทำเรื่อยๆ จนเห็นว่าจริงๆแล้วสามารถใช้เทคโนโลยีและใช้สถิติมาเทียบกันได้ คุณเท้ง เป็นคนที่เต็มไปด้วยอัจฉริยภาพทางสมอง เขาคือเอไอ ทางการเมือง
ขณะเดียวกัน เลขาธิการติ่ง เขาคือรากแก้วของสามัญชน คุณอาจจะไม่รู้จักเขา ถ้าคุณได้รู่จักเขาคุณจะรักเขาแน่นอน เพราะเขาคือคนธรรมดาประชาชนที่เข้าใจหัวอกประชาชนเป็นอย่างดี สองคนนี้มีความคล้ายกันแต่คือความแตกต่างที่ลงตัว เมื่อเท้งเป็นสมอง เลขาติ่งเป็นหัวใจ รวมกันจึงเป็นเอไอทางการเมืองที่มีหัวใจ คู่แข่งกลัวไปหมด
ทั้งนี้ มีสำคัญในการเลือกตั้งอบจ. เพราะต้องเป็นการทำงานแบบไร้รอยต่อมีกองหน้า มีกองกลาง และมีกองหลัง กองหน้าคือ ชัยรัตน์ กองกลางคือ สส. หัวหน้าพรรค และเลขาธิการพรรค ที่จะช่วยประสานงานในสภาใหญ่ เพื่อช่วยแก้ปัญหาการกระจายอำนาจ ดูแลงบประมาณของอบจ.เพื่อส่งให้เขามายิงแล้วเอาชนะไปเลย ผมไม่รู้ว่าที่นี่มีทีมฟุตบอลของใคร แต่เดี๋ยวเจอกัน ส่วนกองหลัง คือ การคิดนโยบาย
ดังนั้นการทำงานของพรรคประชาชน ตนเองจึงมั่นใจ จากประสบการณ์ส่วนตัว และพูดในนามส่วนตัว ว่าไม่เหมือนพรรคอื่น เพราะเป็นการทำงานเป็นทีมที่ไร้รอยต่อ และทำให้การเปลี่ยนแปลงที่ถวิลหาเกิดขึ้นได้แน่นอน โดยอาทิตย์สุดท้ายก่อนวันที่ 1 ก.ย. ตนเองจะปราศรัยใหญ่อีกครั้ง แล้วตนเองจะมาบอกพี่น้องว่า ทำไมชัยรัตน์คือคำตอบสุดท้าย และคำตอบของประชาชน แล้วเจอกันอีกแน่นอน
ยอมรับกังวลคนออกมาใช้สิทธิน้อย
นายพิธา ให้สัมภาษณ์ถึงการลงพื้นที่ในการช่วยผู้สมัครนายกอบจ.ราชบุรี หาเสียง ว่า ที่น่าติดตามมากกว่าคือวันที่ 1 ก.ย. มีเลือกตั้งนายก อบจ.ราชบุรี เราก็ส่งนายชัยรัตน์ หมายเลข 1 จะทำงานร่วมกับพรรคประชาชนต่อเนื่องแน่นอน
ส่วนกรณีมองอย่างไร วันนี้เห็นประชาชนในพื้นที่และกระแสแล้ว มั่นใจหรือไม่ว่าวันที่ 1 ก.ย.นี้ จะเป็นต่อหรือไม่ นายพิธา ตอบว่า มั่นใจแต่ไม่ประมาท ตนคิดว่าเราต้องยืนอยู่กับความเท็จจริงว่าเราไม่สามารถที่จะทำอะไรได้เลย ทุกครั้ง ทุกสนามเราต้องทุ่มเทจิตวิญญาณ นายชัยรัตน์ก็ทำงานอย่างหนัก ทุ่มเทจิตวิญญาณในการที่จะชนะใจพี่น้องประชาชนในแต่ละสนาม คราวนี้อีกอย่างก็คือว่าพอสนามชาติกับสนามท้องถิ่นมันคนละเกมส์กัน เพราะว่าเลือกตั้งล่วงหน้า เลือกตั้งข้ามเขต เลือกตั้งต่างประเทศไม่ได้ เพราะฉะนั้นเมื่อกี้ก็ลองถามหลายคนว่ามีครอบครัวอยู่กี่คน เขาก็ตอบตัวเลขมา ถามว่าอยู่ในราชบุรีกี่คน เขาก็ตอบมาว่าหนึ่งคน คราวนี้ถ้าทำแบบนี้พอไปเรื่อยๆ
นายพิธา กล่าวอีกว่า ทั้งนี้ ตนก็พอเห็นตัวเลขแล้วว่าเมื่อเทียบกับตอนเลือกตั้งปี 2566 ที่เรามาเป็นอันดับหนึ่งของบัญชีรายชื่อ สัดส่วนจะหายไปเท่าไหร่ แต่เราก็คงขอความช่วยเหลือให้ชาวราชบุรีที่อาจจะไม่ได้อยู่ในราชบุรีกลับมาใช้สิทธิ์กันเยอะๆ ส่วนมีการถอดบทเรียนอย่างไรบ้างนั้น คงค้องถามพรรคประชาชน แต่สำหรับตนเองก็คงจะต้องตั้งใจทำงานเพื่อพิสูจน์ตัวเองกับพี่น้องประชาชน บางทีสุภาษิตไทย "ระยะทางพิสูจน์ม้า กาลเวลาพิสูจน์คน" คงเป็นบทเรียนของตนเอง
ส่วนอีก 2-3 สัปดาห์ จุดอ่อนอะไรที่จะต้องเร่งทำในการหาเสียงนั้น มองว่า การทำให้ประชาชนตื่นตัวแล้วกลับมาเลือกตั้ง เพราะตนเองมีความกังวลเล็กน้อย เพราะการถอดบทเรียน ความสนใจการเลือกตั้งน้อยลงไปเยอะ เพราะมีความไม่เถรตรง การกีดกันประชาธิปไตย แต่ละประเทศออกมาใช้สิทธิเหลือ 50% ตนเองจึงกังวลจะเกิดปรากฎการณ์นี้กับการเมืองไทยไม่ว่าจะที่นี้หรือ จ.พิษณุโลก จุดประสงค์ของการเมืองดูสิ้นหวังเพราะคนทิ้งการเมือง ดังนั้นจึงต้องเรียกร้องให้ออกมาใช้สิทธิกันเยอะๆ เพราะกระบวนการเลือกตั้งแสดงให้เห็นอำนาจของประชาชน ถ้ามาใช้สิทธิน้อยก็ทำให้เจตจำนงของประชาชนไม่ได้รับการตอบสนอง
"ชัยรัตน์" เผย สิ่งแรกที่จะทำหากได้รับเลือกเป็นนายก อบจ.ราชบุรี คือ จัดระเบียบภายในองค์กร
ขณะที่ นายชัยรัตน์ ศักดิ์อิสระพงศ์ ผู้สมัครนายก อบจ.ราชบุรี เปิดเผยว่า สิ่งสำคัญ พวกเราที่ลงพื้นที่อยู่ตลอดเวลาหลายวันที่ผ่านมาตั้งแต่ได้รับเบอร์หนึ่ง เท่าที่ฟังจากพี่น้องประชาชนก็ยังมีข้อเป็นกังวลแบบนายพิธาว่าพี่น้องประชาชนยังให้ความสำคัญน้อยกับการเลือกตั้งสนามท้องถิ่น เกรงว่าประชาชนจะมาเลือกตั้งวันที่ 1 ก.ย. น้อย อยากประชาสัมพันธ์ให้พี่น้องประชาชนที่อยู่ต่างจังหวัดได้กลับมาเลือกตั้ง ได้กลับมาเลือกผู้นำที่จะมาบริหารราชบุรี ตนคิดว่าตนมีความมุ่งมั่นที่จะเปลี่ยนแปลงราชบุรี และมั่นใจว่าประชาชนอยากจะเปลี่ยนราชบุรีให้ดีกว่าเดิม และมั่นใจว่าครั้งนี้เราจะชนะ
เมื่อถามว่ามีความมั่นใจหรือไม่ เพราะนี่ถือว่าเป็นสนามแรกของการเลือกตั้งในนามพรรคประชาชน นายชัยรัตน์ ยอมรับว่า ตอนแรกรู้สึกกดดัน เพราะตนถือเป็นหน้าใหม่ในการเมืองจังหวัดราชบุรี แต่เมื่อเดินทางไปได้ซักระยะหนึ่งแล้วก็รู้สึกว่าพี่น้องประชาชนอยากจะออกกับความเจ็บปวดทั้งหลายที่ได้รับในหลาย 10 ปีที่ผ่านมา อยากจะออกจากตรงนี้ อยากจะเปลี่ยนแปลงตรงนี้ให้ดีขึ้นในชีวิตของพวกเรา เพราะฉะนั้น พวกเขากำลังมองหาใครสักคนหนึ่งที่อยากเป็นผู้นำ ซึ่งตนคิดว่า ตนเป็นผู้นำของพวกเขาได้
และหากได้รับเลือกให้เป็นนายก อบจ.สิ่งแรกที่จะทำคือการเข้าไปจัดการองค์กรใน อบจ.ก่อน เพราะตอนนี้มีความระส่ำระสายสำหรับข้าราชการใน อบจ.ราชบุรี อาจไม่มีใครทราบว่า อบจ.ราชบุรี ไม่มีปลัดมานาน 3 ปี แล้ว วันแรกที่เราเข้าไปคงต้องประชุมกับทีมงาน ประชุมกับกองการเจ้าหน้าที่ว่าเรามีพนักงาน มีข้าราชการเหลืออยู่เท่าไหร่ เพราะหลายคนเจ็บปวดกับการบริหารงานที่ผ่านมาแล้วขอย้ายออกจากท้องถิ่นอปท.ไปมากมายทีเดียว เรายังขาดบุคลากรในองค์กรเยอะ เราอาจจะต้องจัดองค์กรสักนิดหนึ่ง สิ่งเหล่าที่ต้องให้เวลาเรานิดเดียว เราทำการบ้านไว้เรียบร้อย
"พิธา" เปิดใจครั้งแรก หลังเปิดตัว "ประชาชน" เชื่อ "เท้ง" นำพรรคไปได้ดี
นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล ให้สัมภาษณ์เป็นครั้งแรกภายหลังพรรคประชาชนเปิดตัว ว่า ในฐานะประชาชนและในฐานะผู้ร่วมงาน ก็ไม่ได้เกินความคาดหมาย มั่นใจว่าพรรคประชาชนจะสามารถที่จะบริหารจัดการได้ โดยวิถีทางของพรรค และรู้สึกไม่ได้เป็นเรื่องน่ากังวลใจตั้งแต่ต้น
ส่วนจนถึงวันนี้หลังถูกยุบพรรครู้สึกอย่างไรบ้างนั้น นายพิธา ระบุว่า ส่วนตัวเบาใจ สบายใจ แต่หากให้พูดถึงส่วนรวมก็รู้สึกหนักใจกับระบบการเมือง ระบบสังคม และระบบเศรษฐกิจ เนื่องจากมีปัญหาต้องแก้ไขเยอะ
"ส่วนตัวก็รู้สึกสบายใจดี เมื่อเช้าได้ออกกำลังกายเต็มที่ มันก็เลยเป็นความรู้สึกที่บอกยากนิดหนึ่ง ส่วนตัวก็อย่างหนึ่ง ส่วนรวมก็อีกความรู้สึกหนึ่ง" นายพิธา ระบุ
เมื่อถามว่า เห็นนายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชนออกสื่อแล้วถือว่าพอไปได้หรือไม่ นายพิธา ตอบทันทีว่า ไปได้ดีแน่นอน เพราะตนรู้จักนายณัฐพงษ์มานานมาก ตั้งแต่เริ่มทำการเมืองด้วยกัน ดังนั้นไม่มีอะไรต้องห่วงหรือต้องฝาก เชื่อว่าเขาจะทำได้ดีแน่นอนอยู่แล้ว และมาวันนี้ ก็ต้องแนะนำว่าที่ผู้สมัครนายกอบจ.ราชบุรีของพรรคประชาชน ซึ่งตนเองมาช่วยหาเสียงในนามผู้ช่วยหาเสียงพรรคประชาชน คงต้องปราศรัยถึงนายณัฐพงษ์ และนายศรายุทธ ใจหลัก เลขาธิการพรรคฯ ด้วย เพื่อให้ประชาชนมั่นใจ ถึงการทำงานแบบไร้รอยต่อ ทั้งในสภาและในพื้นที่
ผู้สื่อข่าวถามว่า คนยังติดภาพนายพิธา เป็นคนนำทัพพรรคอยู่ นายพิธา ตอบทันที "โอ้ย ผมว่าไม่จริงเลยครับ จากตัวเลข สถิติหรือการตอบรับจากประชาชน ก็สะท้อนอยู่แล้วว่าไม่ได้ยึดติดกับตน"
ส่วนมีอะไรที่เป็นเทคนิคอยากจะแนะนำนายณัฐพงษ์หรือไม่ นายพิธา บอกว่า "ไม่มีอะไรต้องแนะนำ เพราะปกติ เขาจะเป็นคนแนะนำผม เดี๋ยวจะเล่าให้ฟัง ตอนสมัยผมเป็นหัวหน้า แล้วผมฝากคำถามว่าผมต้องการทำแบบนี้ แบบนี้ คุณช่วยไปหาคำตอบมาให้ผมหน่อย ผมจะเล่าให้ฟังว่าคุณเท้งทำให้ผมประทับใจอย่างไร ทั้งคุณเท้งและคุณติ่ง มีความคล้ายกันอยู่ แต่ก็มีความต่างที่ลงตัว"
เมื่อถามอีกว่า ทั้งนายณัฐพงษ์ และนายศรายุทธ สนิทสนมกับนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า ทำให้นายธนาธร อาจมีบทบาทมากขึ้นในพรรคประชาชน นายพิธา ระบุว่า ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะทุกคนสนิทกันหมด 3ท.ทหาร ด้วยการทำงานอย่างหนัก การแลกเปลี่ยนกันจนกลายเป็นมากกว่าเพื่อนร่วมงาน ครอบครัวของนายณัฐพงษ์ กับครอบครัวของตนก็สนิทกัน จนกลายเป็นเพื่อนร่วมอุดมการณ์ไปแล้ว จึงไม่ได้รู้สึกว่าใครจะมาเพิ่มบทบาท เพราะพรรคนี้มันทำงานเป็นทีมกัน
ทั้งนี้ หากพูดถึง 3ท. (ทอน ทิม เท้ง) กังวลหรือไม่ว่า ท.ที่ 3 จะโดนทุบทำลาย นายพิธา ตอบว่า ไม่กังวลแต่ไม่ประมาท ตอนแรกก็คิดในลักษณะสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดเป็นอย่างไร ตอนนี้ก็ยังมีความรู้สึกว่า ยังมีความพยายามที่จะทำลายล้างกันอยู่ ดาบสองก็ยังมีโอกาสตัดสิทธิตนจากกรณี สส.44 คน ถูกร้องใน ป.ป.ช. ซึ่งมีโทษตัดสิทธิตลอดชีวิต เพราะฉะนั้นจึงเป็นข้อเท็จจริงที่ต้องทำความเข้าใจและต่อสู้ให้เห็นว่าในฐานะผู้เสนอกฎหมาย ในฐานะ สส.เป็นเรื่องปกติ และแน่นอนว่าทุกอย่างไม่ได้เป็นไปตามที่เราคาด แต่เราก็เตรียมตัวให้หนักกว่าเดิม
ส่วนกังวลหรือไม่ว่ากรณี 44 สส.จะทำให้พรรคประชาชนไปได้ไม่ถึงปีนั้น นายพิธา กล่าวอีกว่า ไม่กังวล ซึ่งกระบวนการเตรียมการเข้าไต่สวน ก็เป็นไปตามข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น ตนคิดว่าก่อนที่ลงรายละเอียดไปถึงภาพย่อย เราต้องดูภาพใหญ่ก่อน ว่าเวลาเราลงโทษใคร ต้องดูที่ความผิด กับสัดส่วนของโทษ
"ถ้าฐานความผิด หมิ่นประมาท ลักขโมย ยาเสพติด แล้วโทษที่ได้รับเป็นประหารชีวิต ผมว่าตรงนี้มันไม่ได้สัดส่วนกัน ถ้าเกิดจะบอกว่าผิดมันผิดที่จริยธรรม คราวนี้จริยธรรมของผม จริยธรรมของเค้า หรือจริยธรรมของคนที่อยู่ในที่นี้ มันไม่เหมือนกัน
เพราะฉะนั้นถ้ามันไม่ได้ตัดสินอย่างตรงไปตรงมาได้ แทนที่จะตัดสิทธิ์กันผมก็เห็นว่ามันไม่ยุติธรรม กับเพื่อน สส.ในอดีตหลายคนที่ผ่านมา ทั้งที่เป็นฝ่ายค้านหรือฝ่ายรัฐบาล เขาผิดแค่นี้ แล้วเล่นแบบนี้ ไม่มีกฎหมายเอาผิดพวกเขาได้ด้วยซ้ำ แล้วแบบนี้ใครจะเป็นตำรวจจริยธรรม มันทำให้สังคมอันตราย" นายพิธา ระบุ
เมื่อถามว่าคำตัดสินคดียุบพรรค จะทำให้เป็นเชื้อเพลิงให้คดีที่ให้ ป.ป.ช.ฟันได้เร็วขึ้นนั้น นายพิธา กล่าวว่า ต้องไปดูคำวินิจฉัยของตุลาการทั้ง 9 ท่าน ตอนนี้ยังไม่สามารถตอบได้
ส่วนกรณีที่พรรคประชาชนประกาศไม่ลดเพดานแก้ไข ม.112 จะทำให้พรรคเดินไปยากหรือไม่นั้น นายพิธา กล่าวว่า ตนตอบแทนพวกเขาไม่ได้ แต่เชื่อว่าเขามีคำตอบ