svasdssvasds
เนชั่นทีวี

การเมือง

นายกฯ ร่ายยาวอภิปรายงบ 68 ย้ำ “เงินหมื่นดิจิทัล“ ถึงมือคนไทยปลายปี

นายกฯ ร่ายยาวอภิปรายงบ 68 ย้ำ “เงินหมื่นดิจิทัล“ ถึงมือคนไทยปลายปี หวังสร้างพายุหมุนเศรษบกิจ กระตุ้นท่องเที่ยว ดันไทยเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมโลก

19 มิถุนายน 2567 นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี ได้เสนอร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 ต่อที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร โดยตั้งงบประมาณไว้ไม่เกิน 3.75 ล้านล้านบาท และไม่มีการตั้งงบประมาณเพื่อชดใช้เงินคงคลัง

นายกฯ กล่าวว่า ร่าง พ.ร.บ. งบ 68 เป็นการดำเนินงานต่อเนื่องจากปีงบ 67 มีจุดมุ่งหมายที่จะทำให้เศรษฐกิจไทยเติบโตได้เต็มศักยภาพ สร้างรายได้ให้กับประชาชนและประเทศ ผ่านการดำเนินการตามนโยบายของรัฐบาลที่ได้แถลงต่อรัฐสภาและวิสัยทัศน์ Ignite Thailand  ซึ่งประกอบด้วยการพัฒนาประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลาง 8 อุตสาหกรรม บนการพัฒนา 6 พื้นฐานสำคัญ มาเป็นแนวทางในการบริหารจัดการงบประมาณ ในการพัฒนาและจัดสรรทรัพยากรของประเทศให้บรรลุเป้าหมาย รวมทั้งคำนึงถึงความสอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจ

นายกฯ ร่ายยาวอภิปรายงบ 68 ย้ำ “เงินหมื่นดิจิทัล“ ถึงมือคนไทยปลายปี

ทั้งนี้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ได้ประมาณการเศรษฐกิจไทยในปี 2568 ข้อมูล ณ วันที่ 20 พฤษภาคม 2567 มีแนวโน้มที่จะขยายตัวในช่วงร้อยละ 2.5 - 3.5 (ค่ากลางร้อยละ 3.0) มีการปรับลดลงจากประมาณการเดิมไว้  สำหรับเสถียรภาพทางเศรษฐกิจในปี 2568 คาดว่าอัตราเงินเฟ้อในปี 2568 จะอยู่ในช่วงร้อยละ 0.7 – 1.7 (ค่ากลางร้อยละ 1.2) และดุลบัญชีเดินสะพัดมีแนวโน้มเกินดุลร้อยละ 1.5 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ

"ในช่วงปลายปี 2567 นโยบายดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท จะถึงมือคนไทย 50 ล้านคน เกิดเป็นพายุหมุนทางเศรษฐกิจ กระตุ้นเศรษฐกิจอย่างทั่วถึง ตั้งแต่ระดับฐานราก กระจายไปยังพื้นที่ทั่วประเทศ ก่อให้เกิดการจับจ่ายใช้สอย การสั่งผลิตสินค้า การจ้างงาน และหมุนกลับมาเป็นเงินภาษีให้กับภาครัฐ เพื่อใช้ในการลงทุนเพื่อสร้างขีดความสามารถให้กับประเทศต่อไป"

นายกฯ ร่ายยาวอภิปรายงบ 68 ย้ำ “เงินหมื่นดิจิทัล“ ถึงมือคนไทยปลายปี

นอกจากนี้ ต้นปี 2567 รัฐบาลได้ประกาศวิสัยทัศน์ Ignite Thailand ของประเทศไทย โดยกลยุทธ์ของการมุ่งไปสู่ 8 ศูนย์กลาง คือการต่อยอดจุดแข็งของประเทศด้านต่างๆ เช่น สถานที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ วัฒนธรรม ทักษะของคนไทย โครงสร้างพื้นฐาน และอุตสาหกรรมในปัจจุบันที่รัฐบาลจะให้การสนับสนุนต่อยอด ให้เป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมของภูมิภาคและของโลกได้ เช่น อุตสาหกรรมท่องเที่ยว อุตสาหกรรมการแพทย์และสุขภาพ อุตสาหกรรมเกษตรและอาหาร อุตสาหกรรมการขนส่งและการบิน เป็นต้น

ขณะเดียวกันจะใช้ประโยชน์จากความเป็นกลางทางภูมิรัฐศาสตร์ เป็นโอกาสสำหรับประเทศไทยในภาคอุตสาหกรรมการผลิตยานยนต์ อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ และอุตสาหกรรมการเงินการธนาคาร โดยความเป็นกลางทาง
ภูมิรัฐศาสตร์ จะสร้างความมั่นใจให้กับภาคอุตสาหกรรม ว่าห่วงโซ่อุปทานและการดำเนินธุรกิจจะมีความยืดหยุ่น (Resilient) ต่อสถานการณ์ความตึงเครียดต่างๆ ของโลก

นายกฯ ร่ายยาวอภิปรายงบ 68 ย้ำ “เงินหมื่นดิจิทัล“ ถึงมือคนไทยปลายปี

ครึ่งปีแรกของปี 2567 แสดงให้เห็นว่าการท่องเที่ยวเป็นตัวกระตุ้นเศรษฐกิจที่สำคัญ โดยมีเป้าหมายไว้ว่าจะมีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าประเทศทั้งปีมากกว่า 36.7 ล้านคน กลับไปสู่ระดับสูงใกล้เคียงกับช่วงก่อนโควิด และรัฐบาลมีแผนที่จะทำให้ปี 2568 เป็นปีแห่งการท่องเที่ยวที่ยิ่งใหญ่ เพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวให้มากยิ่งขึ้น และกระตุ้นการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยว ผ่านการเฟ้นหาจุดเด่น จัดเทศกาล กิจกรรม คอนเสิร์ต หรือการแสดงต่างๆเพื่อเพิ่มระยะเวลาการพำนัก และค่าใช้จ่ายต่อหัวของนักท่องเที่ยวต่างชาติให้มากยิ่งขึ้น เพื่อรองรับการเจริญเติบโตของนักท่องเที่ยวในอนาคต ประเทศไทยจำเป็นต้องมีการขยายโครงสร้างพื้นฐานทางอากาศมากยิ่งขึ้น ทำให้ไทยกลายเป็นศูนย์กลางทางการบิน รัฐบาลจะเดินหน้าขยายโครงข่ายสนามบินทั่วประเทศ เพื่อรองรับผู้โดยสารได้มากขึ้น และขยายกำลังความสามารถในการขนส่งทางอากาศ การขนส่งควบคุมอุณหภูมิ และเชื่อมต่อไปยังการขนส่งทางรถ ราง และเรืออย่างครบวงจร และขนส่งจากไทยไปยังกลุ่มประเทศ CLMV เชื่อมต่อไปยัง Land Bridge เพื่อไปทั่วโลกได้

อย่างไรก็ตาม ปัญหาหนี้สินยังเป็นปัญหาใหญ่ โดยเฉพาะในภาคครัวเรือนที่มีภาระหนี้สินสูงกว่าร้อยละ 91.3 ต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ และยังซ้ำร้ายด้วยภาระหนี้นอกระบบ โดยรัฐบาลได้มีมาตรการช่วยเหลือไกล่เกลี่ย และจับกุมเจ้าหนี้นอกระบบที่ทำผิดกฎหมาย เพื่อคืนอิสรภาพให้กับประชาชนที่เคยตกอยู่ในวังวนหนี้สินไม่รู้จบ

นายกฯ ร่ายยาวอภิปรายงบ 68 ย้ำ “เงินหมื่นดิจิทัล“ ถึงมือคนไทยปลายปี

ในภาคธุรกิจ ธนาคารแห่งประเทศไทยได้ประเมินว่าใน SMEs จำนวนกว่า 3.2 ล้านราย มีเพียงไม่ถึงครึ่งที่เข้าถึงสินเชื่อในระบบสถาบันการเงิน ทำให้ต้องอาศัยแหล่งสินเชื่อที่ไม่เป็นธรรม ส่งผลต่อการดำเนินธุรกิจด้านการใช้จ่ายจำเป็นในการหมุนเวียนประจำวัน และการลงทุนเพื่อขยายธุรกิจ ส่งผลให้หลายบริษัทต้องปิดตัวลง การเจริญเติบโตในภาค SMEs อยู่ในระดับต่ำ สินเชื่อในกลุ่ม SMEs มีการขยายตัวติดลบร้อยละ 5.1 ในขณะที่สินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่ขยายตัวร้อยละ 3.3 ในไตรมาส1 ของปี 2567

ขณะเดียวกันการลงทุนจากต่างประเทศมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น และได้มีการขอรับบัตรส่งเสริมการลงทุนมูลค่ารวมกว่า 850,000 ล้านบาท ในปี 2566 ซึ่งเป็นระดับที่สูงที่สุดในรอบ 9 ปี เป็นผลจากการเดินหน้าเจรจาการค้าการลงทุนอย่างต่อเนื่องร่วมกับภาคเอกชนในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งได้สร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน เป็นการดำเนินนโยบายที่ใช้งบประมาณน้อยแต่ได้ผลมาก  มีหลายบริษัทในอุตสาหกรรมชั้นสูงได้แสดงเจตนารมณ์ชัดเจนที่จะเข้ามาลงทุนตั้งบริษัท และสำนักงานในประเทศไทย 

นายกฯ ร่ายยาวอภิปรายงบ 68 ย้ำ “เงินหมื่นดิจิทัล“ ถึงมือคนไทยปลายปี

ทั้งนี้ภายใต้สภาวการณ์ทางเศรษฐกิจดังกล่าว ปีงบประมาณ 68 รัฐบาลจึงมีความจำเป็นต้องดำเนินนโยบายงบประมาณขาดดุล เพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจให้มีความต่อเนื่อง โดยประมาณการจัดเก็บรายได้จากภาษีอากร (สุทธิ) การขายสิ่งของและบริการ รายได้จากรัฐพาณิชย์ และรายได้อื่น รวมสุทธิทั้งสิ้น จำนวน 3.02 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.8 จากปีก่อน และหักการจัดสรรภาษีมูลค่าเพิ่มให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ตามพระราชบัญญัติกำหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม จำนวน 135,700 ล้านบาท คงเหลือเป็นรายได้สุทธิที่สามารถนำมาจัดสรรเป็นรายจ่ายของรัฐบาล จำนวน 2.88 ล้านล้านบาท ประกอบกับเงินกู้เพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณ จำนวน 865,700 ล้านบาท รวมเป็นรายรับทั้งสิ้น 3.75 ล้านล้านบาท เท่ากับวงเงินงบประมาณรายจ่าย 

การจัดทำงบประมาณแบบขาดดุล จึงมีความสำคัญและจำเป็นในการกระตุ้นเศรษฐกิจที่กำลังฟื้นตัวอย่างเชื่องช้า ให้เติบโตได้อย่างมีนัยสำคัญ โดยเม็ดเงินจำนวนมากจะไหลจากภาครัฐไปสู่ภาคเอกชน ก่อให้เกิดการสั่งซื้อสินค้า การบริการ และหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง

นายกฯ ร่ายยาวอภิปรายงบ 68 ย้ำ “เงินหมื่นดิจิทัล“ ถึงมือคนไทยปลายปี

ส่วนหนี้สาธารณะคงค้าง ณ วันที่ 31 มีนาคม 2567 มีจำนวน 11.47 ล้านล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 63.37 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ ซึ่งอยู่ภายใต้กรอบการบริหารหนี้สาธารณะ ตามกฎหมายว่าด้วยวินัยการเงินการคลังของรัฐ ที่กำหนดไว้ต้องไม่เกินร้อยละ 70 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ

ปัจจุบันฐานะเงินคงคลัง ณ วันที่ 30 เมษายน 2567 มีจำนวน 430,076.3 ล้านบาท  โดยรัฐบาลจะบริหารเงินคงคลังให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม และบริหารรายรับและรายจ่ายของรัฐให้มีประสิทธิภาพและเกิดประโยชน์สูงสุด และเมื่อคณะกรรมการนโยบายการเงิน มีมติให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ร้อยละ 2.5 ต่อปี ในการประชุมเมื่อเดือนมิถุนายน 2567  โดยมีเหตุผลว่าเป็นอัตราที่สอดคล้องกับการรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและการเงิน มีอัตราเงินเฟ้อที่สอดคล้องกับการขยายตัวของเศรษฐกิจที่โน้มเข้าสู่ศักยภาพ โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการท่องเที่ยวที่ขยายตัวต่อเนื่อง และการเบิกจ่ายภาครัฐที่กลับมาเร่งขึ้นในไตรมาส 2 ของปี 2567 แต่ก็ต้องติดตามความท้าทายต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย โดยเฉพาะในภาคการส่งออกและภาคการผลิต ที่ยังคงเผชิญกับความไม่แน่นอนจากเศรษฐกิจโลก ปัญหาเชิงโครงสร้างที่อาจทำให้ความสามารถในการแข่งขันลดลง และภาค SMEs จำนวนมากที่เข้าไม่ถึงแหล่งเงินทุน ซึ่งการดำเนินนโยบายเพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว ต้องอาศัย
การดำเนินการที่สอดประสานกันระหว่างภาคการเงินและการคลัง 

โดยฐานะการเงินด้านต่างประเทศของไทยในปัจจุบัน อยู่ในเกณฑ์ดี มูลค่าเงินสำรองระหว่างประเทศ ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2566 มีจำนวน 224,483.9 ล้านดอลลาร์สหรัฐ  หรือคิดเป็น 2.5 เท่าของหนี้ต่างประเทศระยะสั้น ซึ่งจัดว่าอยู่ในระดับที่แข็งแกร่งมาก

สำหรับสาระสำคัญของงบประมาณ 68 มีวงเงินงบประมาณทั้งสิ้น 3.75 ล้านล้านบาท จำแนกเป็นรายจ่ายประจำ 2.7 ล้านล้านบาท หรือ 72.1% รายจ่ายลงทุน 9.08 แสนล้านบาท หรือ 24.2% ซึ่งเป็นสัดส่วนการลงทุนที่สูงที่สุดในรอบ 17 ปี  และรายจ่ายชำระคืนต้นเงินกู้ 1.5 แสนล้านบาท หรือ 4% ทั้งนี้ รายจ่ายชำระคืนต้นเงินกู้ เป็นรายจ่ายลงทุนกรณีการกู้เพื่อการลงทุนของรัฐวิสาหกิจ 10,198.7 ล้านบาท

นายกฯ ร่ายยาวอภิปรายงบ 68 ย้ำ “เงินหมื่นดิจิทัล“ ถึงมือคนไทยปลายปี

อย่างไรก็ตาม เมื่อจำแนกตามกลุ่มงบประมาณ แบ่งได้เป็น

1.งบประมาณรายจ่ายงบกลาง กำหนดไว้ 805,745.0 ล้านบาท คิดเป็น 21.5% ของวงเงินงบประมาณ 

2.งบประมาณรายจ่ายของหน่วยรับงบประมาณ กำหนดไว้  1,254,576.8 ล้านบาท คิดเป็น 33.4% ของวงเงินงบประมาณ 

3.งบประมาณรายจ่ายบูรณาการ กำหนดไว้ 206,858.5 ล้านบาท คิดเป็น 5.5% ของวงเงินงบประมาณ 10 เรื่อง อาทิ ขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ บริหารจัดการทรัพยากรน้ำ และแก้ไขปัญหายาเสพติด

4.งบประมาณรายจ่ายบุคลากร กำหนดไว้ 800,969.6 ล้านบาท คิดเป็น 21.4% ของวงเงินงบประมาณ 

5.งบประมาณรายจ่ายสำหรับทุนหมุนเวียน กำหนดไว้ 274,296.4 ล้านบาท คิดเป็น 7.3% ของวงเงินงบประมาณ 

6.งบประมาณรายจ่ายเพื่อการชำระหนี้ภาครัฐ กำหนดไว้  410,253.7 ล้านบาท คิดเป็น 10.9% ของวงเงินงบประมาณ 

สำหรับงบประมาณครั้งนี้ ได้จัดสรรไว้ 6 ยุทธศาสตร์ 1 รายการ คือ ยุทธศาสตร์ด้านความมั่นคง ยุทธศาสตร์ด้านการสร้างความสามารถในการแข่งขัน ยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพทรัพยากรมนุษย์ ยุทธศาสตร์ด้านการสร้างโอกาสและความเสมอภาคทางสังคม ยุทธศาสตร์ด้านการสร้างการเติบโตบนคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม  ยุทธศาสตร์ด้านการปรับสมดุลและพัฒนาระบบการบริหารจัดการภาครัฐ

นอกจากนี้ยังมีรายการดำเนินการภาครัฐ ที่รัฐบาลได้จัดสรรงบประมาณรายจ่ายไว้ 659,053.7 ล้านบาท หรือ 17.6% ของวงเงินงบประมาณ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายรองรับเหตุการณ์ที่อาจเกิดขึ้นโดยมิได้คาดหมาย อาทิ แผนงานบริหารเพื่อรองรับกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน 248,800.0 ล้านบาท  แผนงานบริหารจัดการหนี้ภาครัฐ จำนวน 410,253.7 ล้านบาท

นายกฯ กล่าวย้ำอีกว่า แม้ว่างบประมาณปีนี้จะมีการขาดดุลเพิ่มขึ้น แต่รัฐบาลได้จัดสรรรายจ่ายลงทุนไว้ จำนวน 908,224 ล้านบาท หรือ 24.2% ของงบประมาณรายจ่ายประจำปี  ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปีก่อน 27.9% และเป็นอัตราที่สูงที่สุดในรอบ 17 ปีที่ผ่านมา 

ทั้งนี้รัฐบาลจะดำเนินการให้เป็นไปตามกรอบวินัยการเงินการคลังของรัฐ ใช้จ่ายเงินภาษีของประชาชนอย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด กระตุ้นเศรษฐกิจให้เม็ดเงินไหลไปสู่ประชาชนและภาคธุรกิจ สร้างการเจริญเติบโตให้กับประเทศพัฒนาศักยภาพอย่างยั่งยืน และเป็นไปตามกฎหมาย