ศ.พิเศษ อรรถพล ใหญ่สว่าง อดีตอัยการสูงสุด เเละอดีตประธานคณะกรรมการอัยการ หรือ ก.อ.คนเเรกตามกฎหมายใหม่ ให้ความเห็นข้อกฎหมายถึงเรื่องการร้องขอความเป็นธรรมในกระบวนการยุติธรรม หลังมีกระแสวิจารณ์ กรณี “อดีตนายกฯทักษิณ“ ร้องขอความเป็นธรรมในคดี 112 อาจเลยห้วงเวลาที่สามารถยื่นได้ไปแล้ว ว่า ในคดีอาญาที่รัฐเป็นผู้ดำเนินคดี เช่น การเเจ้งความต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ ตำรวจก็จะทำการสอบสวนแล้วส่งให้พนักงานอัยการ ถ้าพิจารณาแล้วฟ้องคดี ก็จะไปที่ศาล ตนจะพูดเฉพาะในส่วนของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา หรือ ป.วิอาญา ไม่พูดถึงกฎหมายการสอบสวนคดีพิเศษ หรือกฎหมาย ป.ป.ช.
โดยในการดำเนินคดีอาญานั้น เจ้าพนักงานสามารถลงไปสืบสวนคดีได้ตั้งแต่เบื้องต้น แม้จะยังไม่มีการดำเนินคดี จนเมื่อมีการดำเนินคดีและมีการสอบสวนเเละจับกุมตัว ก็สามารถที่จะเริ่มกระบวนการร้องขอความเป็นธรรมได้เลย ซึ่งเมื่อผู้ต้องหาถูกสอบสวนโดยผู้มีอำนาจแล้ว ก็อาจจะร้องขอความเป็นธรรมต่อผู้บังคับบัญชาของผู้สอบสวน ซึ่งมีอำนาจสูงกว่า
ในประเด็นที่เราจะได้เห็นชัดๆ เเละได้ยินข่าวกันบ่อย ก็คือการร้องขอความเป็นธรรมต่อพนักงานอัยการ ซึ่งสำนักงานอัยการสูงสุดมีระเบียบว่าด้วยการดำเนินคดีอาญาของพนักงานอัยการฯ เเละมีการเเก้ไขเพิ่มเติมตลอดมาว่า การร้องขอความเป็นธรรมต่อพนักงานอัยการสามารถร้องได้เมื่อมีการส่งสำนวนมา โดยจะเป็นการร้องต่อหัวหน้าพนักงานอัยการที่พิจารณาคดีนั้น
ยกตัวอย่างเช่น การร้องขอความเป็นธรรมในคดีที่สำนักงานอัยการจังหวัดนนทบุรี การร้องขอความเป็นธรรมก็จะทำถึงอัยการจังหวัดนนทบุรี แต่ถ้ายังรู้สึกว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมอีก ก็สามารถร้องขอความเป็นธรรมได้อีกต่อผู้บังคับบัญชาระดับสูงขึ้นไป เช่นร้องไปยังอธิบดีอัยการภาค 1
ส่วนในกรุงเทพฯ หากเราร้องขอความเป็นธรรมมายัง “อัยการพิเศษฝ่าย” แล้ว ยังรู้สึกว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม ก็อาจจะร้องขอความเป็นธรรมไปยังอธิบดีอัยการสำนักงานนั้นๆ หากในชั้นอธิบดีอัยการ เรายังรู้สึกไม่ได้รับความเป็นธรรมอีก ก็สามารถร้องขอความเป็นธรรมไปยังผู้บังคับบัญชาที่สูงกว่านั้น โดยหลักคือ “อัยการสูงสุด”
แต่ในคดีอาญาทั่วๆไป ถ้ามีการร้องขอความเป็นธรรมต่ออัยการสูงสุดแล้ว เรื่องจะส่งไปยัง “สำนักงานคดีกิจการอัยการสูงสุด” เพื่อเป็นผู้พิจารณาให้ความเป็นธรรม ซึ่งเมื่อสำนักงานคดีกิจการอัยการสูงสุด ได้รับคำร้องขอความเป็นธรรมมาเเล้ว เห็นว่าควรจะสอบสวนเพิ่มเติม ก็จะแจ้งไปยังอธิบดีอัยการสำนักงานเจ้าของเรื่องว่าเห็นควรสอบสวนเพิ่มเติมหรือไม่ ถ้าอธิบดีสำนักงานที่ถูกเเจ้งพิจารณาเเล้วเห็นควรสอบสวนเพิ่มเติม ก็จะสั่งสอบสวนเพิ่มเติม และส่งมายังสำนักงานคดีกิจการอัยการสูงสุด เพื่อนำเสนอไปยังรองอัยการสูงสุดที่รับผิดชอบสั่งคดี
เเต่ถ้าอธิบดีสำนักงานคดีกิจการอัยการสูงสุดส่งไปเเล้ว อธิบอดีอัยการสำนักงานที่เป็นเจ้าของเรื่องเห็นว่าไม่ควรสอบสวนเพิ่มเติม เพราะอาจเป็นการประวิงคดีของฝ่ายจำเลย สำนักงานคดีกิจการอัยการสูงสุดก็จะนำมาพิจารณาอีกครั้ง ซึ่งส่วนมากก็จะสั่งยุติเรื่องร้องขอความเป็นธรรม เว้นเเต่รองอัยการสูงสุดพิจารณาเเล้วมีคำสั่งให้สอบสวนเพิ่มเติม ก็จะต้องทำการสอบสวนเพิ่มเติ มเมื่อได้พยานหลักฐานมาก็จะพิจารณาอีกครั้งว่าจะดำเนินการอย่างไร โดยจะสิ้นสุดที่รองอัยการสูงสุด ยกเว้นคดีบางประเภทที่อยู่ในอำนาจของอัยการสูงสุดโดยตรง เช่น คดีวิสามัญฆาตกรรม หรือ คดีการกระทำความผิดนอกราชอาณาจักรฯ (คดี 112 ของอดีตนายกฯ เข้าข่ายคดีประเภทนี้)
ส่วนเมื่อมีการสั่งยุติร้องขอความเป็นธรรมไปเเล้ว ความเห็นโดยส่วนตัวมองว่า ผู้ต้องหายังสามารถร้องขอความเป็นธรรมได้ตลอด
ยกตัวอย่าง มีคดีที่ยุติร้องขอความเป็นธรรมเเล้ว มีพยานยืนยันว่าคนที่ตกเป็นผู้ต้องหากระทำผิดชิงทรัพย์ เเต่ปรากฎว่ามีพยานหลักฐานใหม่เป็นกล้องวงจรปิด ดูเเล้วคนที่ลงมือก่อเหตุมีหน้าตาคล้ายกัน เเต่ไม่ใช่ผู้ต้องหา เเบบนี้ก็สามารถร้องขอความเป็นธรรมเข้าไปใหม่ได้ เเต่การจะยุติเรื่องอีกหรือไม่ ก็ต้องดูว่าการร้องต้องมีข้อเท็จจริงเเละพยานหลักฐานที่เเตกต่างจากเดิมหรือไม่อย่างไร
“คนอยากจะร้องอย่าไปห้ามเขา ให้เขาร้องมา เเต่การพิจารณาก็ตัองพิจารณาว่าสมควรดำเนินต่อไปหรือไม่ เช่นร้องมาไม่มีพยานหลักฐานใหม่อะไรเลย ก็สามารถสั่งยุติเรื่องทันทีก็ได้ เเต่อย่าไปห้ามคนร้อง มิเช่นนั้นจะเรียกว่าร้องขอความเป็นธรรมได้อย่างไร ที่เขาร้องเพราะเขาคิดว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม“ อดีตอัยการสูงสุด กล่าว
ศ.พิเศษ อรรถพล บอกอีกว่า ในคดีนอกราชอาณาจักร คนที่อำนาจว่าจะพิจารณาคำร้องขอความเป็นธรรม คือ “อัยการสูงสุด” หรือผู้รักษากาเเทน ซึ่งจะเป็นคนสั่งคดี เเต่การร้องขอความเป็นธรรมก็จะมีขั้นตอนในการกลั่นกรอง เเล้วเเต่ระเบียบในเเต่ละเรื่อง เเละการร้องขอความเป็นธรรมเเม้ฟ้องศาลไปเเล้วก็ยังสมารถร้องเข้ามาได้
ยกตัวอย่าง หากมีการยื่นฟ้องศาลไปเเล้ว มีพยานหลักฐานที่ได้มาใหม่ ซึ่งต้องยอมรับว่าเมื่อมีการฟ้องคดีสู่ศาลเเล้ว จะมีการหยุดการสอบสวนทันที เเต่หากเกิดมีผู้หวังดีมีพยานหลักฐานที่เเน่ชัด ซึ่งตนมองว่า คือพยานหลักฐานที่เป็นนิติวิทยาศาสตร์ ซึ่งพยานบุคคลก็สู้ไม่ได้ ก็สามารถจะร้องขอความเป็นธรรมได้
“เเม้บางคนอาจจะบอกไว้ว่าให้เก็บไว้สู้คดีในศาล เเต่อัยการไม่ได้มีหน้าที่ฟ้องคดีอย่างเดียว ต้องมีหน้าที่ให้ความเป็นธรรมด้วย ถ้าดูบทบัญญัติเรื่องการสอบสวนตามมาตรา 131 (ป.วิอาญา) จะเห็นชัดว่าในการสอบสวนนั้น สอบสวนเพื่อที่จะให้ได้ข้อเท็จจริงเเละพยานหลักฐานเพื่อที่จะนำผู้กระทำผิดมาฟ้องเเละถูกลงโทษ หรือเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของของคนที่ถูกเป็นผู้ต้องหาก็ได้ ในความเห็นส่วนตัวเมื่อไปถึงศาลก็ยังร้องขอความเป็นธรรมได้” ศ.พิเศษ อรรถพล ระบุ
ส่วนผลที่ร้องขอความเป็นธรรมหลังฟ้องศาลไปเเล้ว คนร้องก็อาจหวังให้มีการถอนฟ้อง หรือว่าขอความเป็นธรรมอ้างเป็นพยานหลักฐานว่าได้มีหลักฐานใหม่เพิ่มเติมขึ้นมา ในส่วนเรื่องการถอนฟ้อง อำนาจถอนฟ้องเป็นของ “พนักงานอัยการที่ฟ้องคดี” เเต่จะมีขั้นตอนในการเสนอผู้บังคับบัญชาว่าเรื่องใดควรจะถอน เเละใครควรจะเป็นคนถอนฟ้อง คล้ายกับการยื่นอุทธรณ์คดี
เเต่ในคดีนอกราชอาณาจักร อำนาจถอนฟ้องเป็นของอัยการสูงสุดหรือผู้รักษาการเเทน ซึ่งที่ผ่านมาอัยการสูงสุดในอดีตก็เคยมีการถอนฟ้อง เช่น พิจารณาเเล้วเป็นเรื่องความมั่นคง หรือประโยชน์สาธารณะ ก็ถอนฟ้องได้
หลักในการถอนฟ้องก็จะเหมือนกับการสั่งไม่ฟ้อง เช่น เมื่อฟ้องคดีไปเเล้วเห็นว่าเขาไม่ได้กระทำผิด ก็ถอนฟ้องได้ ระเบียบของสำนักงานสูงสุดให้อำนาจไว้ ส่วนคนอนุญาตถอนฟ้องได้หรือไม่คือ “ศาล” บางคนเข้าใจผิดคิดว่าอัยการถอนฟ้องเเล้ว ศาลจะต้องอนุญาตเสมอไป ซึ่งความจริงต้องเป็นไปตาม ป.วิอาญา มาตรา 35,36 ศาลอาจจะไม่อนุญาตก็ได้
เเต่ในกรณีหากมีคำพิพากษาของศาลเเล้ว ต้องยอมรับว่าตรงนี้มีผลคำพิพากษาเเล้ วถ้าจะถอนฟ้อง ตามกฎหมายผลของคำพิพากษาก็ยังมีอยู่ ยกตัวอย่าง ในคดีที่ไม่ว่ารัฐหรือราษฎรฟ้องเอง หากตัดสินเเล้ว เเม้ถอนฟ้องไปเเล้วผลของคำพิพากษาจะยังมีอยู่ เรียกว่าถอนฟ้องได้ยันฎีกา เเต่ผลคำพิพากษาก็ยังมีอยู่
ถ้ามองในเเง่ตรรกกะเเล้ว เมื่อศาลตัดสินเเล้ว คดีเสร็จเเล้ว การถอนฟ้องจะดำเนินการได้อย่างไร การถอนฟ้องต้องกระทำเมื่อศาลยังไม่ตัดสิน เเละใน ป.วิอาญา ยังกำหนดไว้ว่า ถ้าฟ้องเเล้วจำเลยยังไม่ได้ให้การ การถอนฟ้องไม่ต้องถามจำเลย เเต่ถ้ามีการยื่นถอนฟ้องขณะที่จำเลยให้การเเล้ว ต้องถามจำเลยด้วยว่าคัดค้านหรือไม่ ถ้าจำเลยคัดค้านจะถอนฟ้องไม่ได้ เเละต้องถอนฟ้องก่อนศาลตัดสิน เว้นเเต่กรณีเป็นคดีความผิดต่อส่วนตัวที่สามารถยื่นถอนฟ้องได้จนกว่าคดีจนถึงที่สุด