“ภูมิทัศน์การเมือง” ที่เป็นภาพย่อยเฉพาะหน้า ช่วงก่อนปรากฏการณ์การเสียชีวิตของ “บุ้ง เนติพร” อยู่ในภาวะฝุ่นตลบอบอวล “กูรู - ผู้เชี่ยวชาญ” วิเคราะห์อ่านเกมกันไปต่างๆ นานา โดยมีปัจจัยในการคาดการณ์ และประเมินทิศทางอยู่หลายประการ คือ
1.การแสดงบทบาทอย่างห้าวหาญ ไม่แคร์กลุ่มต้านของ “อดีตนายกฯทักษิณ” นัยที่สื่อถึงสังคมการเมืองไทยคือ อดีตนายกฯคือ ผู้คุมเกมแบบเบ็ดเสร็จ และได้รับ mandate
2.พรรคเพื่อไทยเดินเกมการเมืองแบบรุกหนัก ก้าวร้าว ไม่แคร์สื่อ
3.พรรคก้าวไกลกำลังจะถูกยุบ พรรคภูมิใจไทยอยู่ในคิว พรรครวมไทยสร้างชาติ “อกแตก” พรรคพลังประชารัฐถูกเซ้งเรียบร้อย
4.มีความพยายามเคลียร์ทางเพื่อดำเนินโครงการ “พาน้องกลับบ้าน” ตามพี่ชาย เช่น ฟอกขาวจำนำข้าว
5.ทั้ง 4 ข้อแรกดูเหมือนเข้าทางเพื่อไทย แต่ปรากฏว่าเพื่อไทยก็สะดุดขาตัวเองหลายเรื่องอย่างไม่น่าเชื่อ
การเมืองไทย กับทาง 5 แพร่ง
จากเหตุปัจจัยแต่ละข้อ ทำให้เกิดฉากทัศน์การวิเคราะห์อนาคต อ่านเกมการเมืองไปต่างๆ นานา ขอสรุปเป็น 5 ฉากทัศน์ หรือ 5 แพร่งการเมืองไทย ได้แก่
แพร่ง 1 จับมือไว้แล้วไปด้วยกัน
เพื่อไทยจับมือพรรคลุง อนุรักษ์นิยม สู้ก้าวไกล ยื้อเลือกตั้งให้ช้าที่สุด อยู่ให้นานที่สุด แก้กติกาให้น้อยที่สุด โดยเฉพาะรัฐธรรมนูญ เพราะกติกานี้ได้เปรียบอยู่แล้ว
แพร่ง 2 อัมโน ไทยสไตล์
เพื่อไทยใช้โมเดลปี 48 ดูด และดึงทุกพรรคยกเว้นก้าวไกลเป็นเครือข่ายของตน บางส่วนดึงมาอยู่ใต้ร่มเพื่อไทย บางส่วนเป็นพรรคเครือข่าย ดึงศัตรูการเมืองในอดีตมาเป็นพวก โดยเฉพาะประชาธิปัตย์ อาจในชื่อพรรคใหม่ หรือรวมไทยสร้างชาติ
แพร่ง 3 หลอกลุง ถลุงภูมิใจไทย
เพื่อไทยทำลายพรรคร่วมฯ เพื่อขึ้นเป็น “เบอร์ 1 ของผู้แพ้” หรือ “ผู้ชนะในฝ่ายแพ้” เป็นผู้นำเดี่ยวให้ได้ เพื่อสู้ก้าวไกลแบบสมน้ำสมเนื้อในปี 70
แพร่ง 4 เพื่อไทยพ่ายทั้งกระดาน
แม้เพื่อไทยจะพยายามอย่างไรก็ไม่สำเร็จ สิ่งที่เกิดขึ้นในเหตุปัจจัยที่ 5 ไม่ใช่ความตั้งใจให้เกิด แต่เป็นความผิดพลาด หลงยุค หลงตัวเองของเพื่อไทย และของผู้มีบารมีเหนือพรรค สุดท้ายแพ้ก้าวไกลหมดรูป
แพร่ง 5 กำเนิดพรรคอนุรักษ์นิยมใหม่
การเกิดพรรคทางเลือกที่ 3 ที่มีความแข็งแกร่ง เป็นทางเลือกให้ฝ่ายอนุรักษ์นิยม เพราะมีช่องว่างที่คนกลุ่มนี้ยังไม่มีพรรคการเมืองตัวแทนของตน หลังการล่มสลายของประชาปัตย์ และการเตรียมอวสานของพรรคลุง 2 พรรค คือ รวมไทยสร้างชาติ และพลังประชารัฐ
ทั้งนี้พรรคพรรคทางเลือกที่ 3 ยังมีช่องว่างให้เกิดได้ และมีฐานเสียงใหญ่มากพอที่จะเป็นตัวแปรทางการเมืองได้ แม้จะไม่ใช่ผู้ชนะ แต่อาจกำหนดทิศทางการตั้งรัฐบาลได้เลย แต่ต้องอยู่ในโจทย์ของ “อนุรักษ์นิยมใหม่” ไม่ใช่โหนเจ้า แต่รักษาสถาบันหลักของชาติ บนความทันสมัย และมีนวัตกรรมใหม่ๆ ในการแก้ไขปัญหาประเทศ
โดยแพร่งยอดนิยมก่อนเกิดปรากฏการณ์ “บุ้ง เนติพร” คือ แพร่ง 3 มี รศ.ดร.โอฬาร ถิ่นบางเตียว อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์และนิติศาสตร์ ม.บูรพา ซึ่งเป็นหัวหอก และเสนอทฤษฎี “สามเหลี่ยมมรณะ” มองการเมือง 3 เส้า เหมือน “3 ก๊ก” โดยสองฝ่ายจับมือกัน และครองอำนาจเหนืออีกฝ่ายที่เหลือ แต่ไม่นานก็จะมีการ “หักหลังทางการเมือง” แล้วเปลี่ยนข้างผู้ชนะ
อาจารย์โอฬาร มองโมเดล “แพร่ง 3” และคาดว่าสุดท้ายเพื่อไทยอาจพลิกมาจับมือกับก้าวไกล ปิดฉากอนุรักษ์นิยมถาวร
แพร่งรองลงมา คือ แพร่ง 4 โดยหัวหอกนอกจากกลุ่มหนุนก้าวไกล พลพรรคสีส้มแล้ว ยังมี "ตู่" จตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน มองต่างจากพลพรรคสีส้ม คือ แพร่ง 1 อาจเป็นการเชื้อเชิญให้กองทัพออกมาทำรัฐประหารอีกครั้ง
ก่อนเกิดปรากฏการณ์ “บุ้ง เนติพร” สองฉากทัศน์การเมืองนี้ กำลังถูกพูดถึงกันอย่างมาก โดยเฉพาะกระแสรัฐประหาร ที่เรียกกันว่า “ระวัง แอ่น แอ๊น”
แต่การสูญเสีย “บุ้ง ทะลุวัง” กำลังทำให้ภูมิทัศน์การเมืองที่ว่านี้อยู่ในภาวะสะดุด และอาจพลิกเปลี่ยนไปอีกแบบ