svasdssvasds
เนชั่นทีวี

การเมือง

อ่านอนาคตการเมืองไทย บนทาง 5 แพร่ง หลังปรากฎการณ์ ”บุ้ง ทะลุวัง“ เสียชีวิต

อ่านอนาคตการเมืองไทย กับเส้นทาง 5 แพร่ง หลังเกิดปรากฎการณ์เสียชีวิตของ ”บุ้ง ทะลุวัง“ ใครคือผู้คุมเกม อนุรักษ์นิยม-เสรีนิยม หรือทางเลือกที่สาม

“ภูมิทัศน์การเมือง” ที่เป็นภาพย่อยเฉพาะหน้า ช่วงก่อนปรากฏการณ์การเสียชีวิตของ “บุ้ง เนติพร” อยู่ในภาวะฝุ่นตลบอบอวล “กูรู - ผู้เชี่ยวชาญ” วิเคราะห์อ่านเกมกันไปต่างๆ นานา โดยมีปัจจัยในการคาดการณ์ และประเมินทิศทางอยู่หลายประการ คือ 

1.การแสดงบทบาทอย่างห้าวหาญ ไม่แคร์กลุ่มต้านของ “อดีตนายกฯทักษิณ” นัยที่สื่อถึงสังคมการเมืองไทยคือ อดีตนายกฯคือ ผู้คุมเกมแบบเบ็ดเสร็จ และได้รับ mandate 

2.พรรคเพื่อไทยเดินเกมการเมืองแบบรุกหนัก ก้าวร้าว ไม่แคร์สื่อ 

  • จัดระบบ และจัดสรรทรัพยากรภายในสไตล์ “นายใหญ่ตบโต๊ะ” เช่น กรณีหมอชลน่าน หลุดเก้าอี้ ก.สาธารณสุข กรณีนายปานปรีย์ ลาออกหลังปรับครม.
  • รุกหนักพรรคร่วมรัฐบาลในแบบ “แล้วไง ใครแคร์” เช่น กรณีกัญชากลับเป็นยาเสพติด และกรณียาบ้า 1 เม็ด กรณีแบ่งงานในกระทรวงการคลัง ทำเอา “ปลัดตู่” กฤษฎา จีนะวิจารณะ ลาออกจาก รมช.คลังในโควตารวมไทยสร้างชาติ

3.พรรคก้าวไกลกำลังจะถูกยุบ พรรคภูมิใจไทยอยู่ในคิว พรรครวมไทยสร้างชาติ “อกแตก” พรรคพลังประชารัฐถูกเซ้งเรียบร้อย 

4.มีความพยายามเคลียร์ทางเพื่อดำเนินโครงการ “พาน้องกลับบ้าน” ตามพี่ชาย เช่น ฟอกขาวจำนำข้าว

5.ทั้ง 4 ข้อแรกดูเหมือนเข้าทางเพื่อไทย แต่ปรากฏว่าเพื่อไทยก็สะดุดขาตัวเองหลายเรื่องอย่างไม่น่าเชื่อ

  • พลาดจนโดนทัวร์ลง 2 เรื่องซ้อนๆ คือ เรื่องเปิดศึกกับแบงก์ชาติ ในเรื่องความเป็นอิสระ ทั้งที่เป็นมาตรฐานสากล ทำให้ อุ๊งอิ๊งค์ แพทองธาร พลอยโดนไปด้วย และอีกเรื่อง “หุงข้าวเก่า กินข้าวโชว์” จนเกิดวาทกรรม “กินเพื่อนาย ตายช่างมัน” 
  • เกิดปรากฏการณ์ “เพื่อไทยผิดฟอร์ม” เพราะผ่านมาเกือบ 9 เดือน มีแต่เสียงวิจารณ์ ยังไม่มีผลงานที่จับต้องได้เลย 
  • นโยบายเรือธง ยังไม่เกิดผลสำเร็จเลยแม้แต่นโยบายเดียว แถมเจอต้านหนัก

การเมืองไทย กับทาง 5 แพร่ง

จากเหตุปัจจัยแต่ละข้อ ทำให้เกิดฉากทัศน์การวิเคราะห์อนาคต อ่านเกมการเมืองไปต่างๆ นานา ขอสรุปเป็น 5 ฉากทัศน์ หรือ 5 แพร่งการเมืองไทย ได้แก่ 

แพร่ง 1 จับมือไว้แล้วไปด้วยกัน 

เพื่อไทยจับมือพรรคลุง อนุรักษ์นิยม สู้ก้าวไกล ยื้อเลือกตั้งให้ช้าที่สุด อยู่ให้นานที่สุด แก้กติกาให้น้อยที่สุด โดยเฉพาะรัฐธรรมนูญ เพราะกติกานี้ได้เปรียบอยู่แล้ว

แพร่ง 2 อัมโน ไทยสไตล์ 

เพื่อไทยใช้โมเดลปี 48 ดูด และดึงทุกพรรคยกเว้นก้าวไกลเป็นเครือข่ายของตน บางส่วนดึงมาอยู่ใต้ร่มเพื่อไทย บางส่วนเป็นพรรคเครือข่าย ดึงศัตรูการเมืองในอดีตมาเป็นพวก โดยเฉพาะประชาธิปัตย์ อาจในชื่อพรรคใหม่ หรือรวมไทยสร้างชาติ

แพร่ง 3 หลอกลุง ถลุงภูมิใจไทย 

เพื่อไทยทำลายพรรคร่วมฯ เพื่อขึ้นเป็น “เบอร์ 1 ของผู้แพ้” หรือ “ผู้ชนะในฝ่ายแพ้” เป็นผู้นำเดี่ยวให้ได้ เพื่อสู้ก้าวไกลแบบสมน้ำสมเนื้อในปี 70  

แพร่ง 4 เพื่อไทยพ่ายทั้งกระดาน 

แม้เพื่อไทยจะพยายามอย่างไรก็ไม่สำเร็จ สิ่งที่เกิดขึ้นในเหตุปัจจัยที่ 5 ไม่ใช่ความตั้งใจให้เกิด แต่เป็นความผิดพลาด หลงยุค หลงตัวเองของเพื่อไทย และของผู้มีบารมีเหนือพรรค สุดท้ายแพ้ก้าวไกลหมดรูป 

แพร่ง 5 กำเนิดพรรคอนุรักษ์นิยมใหม่ 

การเกิดพรรคทางเลือกที่ 3 ที่มีความแข็งแกร่ง เป็นทางเลือกให้ฝ่ายอนุรักษ์นิยม เพราะมีช่องว่างที่คนกลุ่มนี้ยังไม่มีพรรคการเมืองตัวแทนของตน หลังการล่มสลายของประชาปัตย์ และการเตรียมอวสานของพรรคลุง 2 พรรค คือ รวมไทยสร้างชาติ และพลังประชารัฐ 

ทั้งนี้พรรคพรรคทางเลือกที่ 3 ยังมีช่องว่างให้เกิดได้ และมีฐานเสียงใหญ่มากพอที่จะเป็นตัวแปรทางการเมืองได้ แม้จะไม่ใช่ผู้ชนะ แต่อาจกำหนดทิศทางการตั้งรัฐบาลได้เลย แต่ต้องอยู่ในโจทย์ของ “อนุรักษ์นิยมใหม่” ไม่ใช่โหนเจ้า แต่รักษาสถาบันหลักของชาติ บนความทันสมัย และมีนวัตกรรมใหม่ๆ ในการแก้ไขปัญหาประเทศ 

รศ.ดร.โอฬาร ถิ่นบางเตียว อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์และนิติศาสตร์ ม.บูรพา กูรูการเมือง ให้น้ำหนักแพร่ง 2, 3 และ 4 

โดยแพร่งยอดนิยมก่อนเกิดปรากฏการณ์ “บุ้ง เนติพร” คือ แพร่ง 3 มี รศ.ดร.โอฬาร ถิ่นบางเตียว อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์และนิติศาสตร์ ม.บูรพา ซึ่งเป็นหัวหอก และเสนอทฤษฎี “สามเหลี่ยมมรณะ” มองการเมือง 3 เส้า เหมือน “3 ก๊ก” โดยสองฝ่ายจับมือกัน และครองอำนาจเหนืออีกฝ่ายที่เหลือ แต่ไม่นานก็จะมีการ “หักหลังทางการเมือง” แล้วเปลี่ยนข้างผู้ชนะ 

อาจารย์โอฬาร มองโมเดล “แพร่ง 3” และคาดว่าสุดท้ายเพื่อไทยอาจพลิกมาจับมือกับก้าวไกล ปิดฉากอนุรักษ์นิยมถาวร

แพร่งรองลงมา คือ แพร่ง 4 โดยหัวหอกนอกจากกลุ่มหนุนก้าวไกล พลพรรคสีส้มแล้ว ยังมี "ตู่" จตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน มองต่างจากพลพรรคสีส้ม คือ แพร่ง 1  อาจเป็นการเชื้อเชิญให้กองทัพออกมาทำรัฐประหารอีกครั้ง 

ก่อนเกิดปรากฏการณ์ “บุ้ง เนติพร” สองฉากทัศน์การเมืองนี้ กำลังถูกพูดถึงกันอย่างมาก โดยเฉพาะกระแสรัฐประหาร ที่เรียกกันว่า “ระวัง แอ่น แอ๊น”

แต่การสูญเสีย “บุ้ง ทะลุวัง” กำลังทำให้ภูมิทัศน์การเมืองที่ว่านี้อยู่ในภาวะสะดุด และอาจพลิกเปลี่ยนไปอีกแบบ