การอภิปรายทั่วไปโดยไม่ลงมติ ม.152 ดำเนินเข้าสู่วันวันสุดท้าย กับการพยายามลดข้อครหา ”ชกไม่สุดหมัด“ ของฝ่ายค้าน โดยเฉพาะพรรคก้าวไกล
อภิปรายวันแรกไม่ว้าว
การอภิปรายทั่วไปโดยไม่ลงมติในวันแรก รศ.ดร.ยุทธพร อิสรชัย อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ ม.สุโขทัยธรรมราช ประเมินและให้คะแนนการทำหน้าที่ของฝ่ายค้าน ว่า ไม่โดดเด่นเท่าไหร่นัก เพราะไม่มีประเด็นอะไรใหม่ถึงขั้นน็อกรัฐบาลได้
สอดคล้องกับผศ.วันชาติ นภาศรี นักวิชาการอิสระ จากเชียงใหม่ ที่มองว่า ข้อมูลที่พรรคก้าวไกลนำมาอภิปรายยังไม่เพียงพอที่จะลดทอนคะแนนนิยมของรัฐบาลได้
ดังนั้นข้อหา “ชกไม่สุดหมัด” ของฝ่ายค้าน น่าจะไม่ใช่ข้อกล่าวหาลอยๆ แต่มีที่มา
แม้ “ผู้นำจิตวิญญาณ” อย่างนายชัยธวัช ตุลาธน หัวหน้าพรรคก้าวไกล จะยืนยันว่า การอภิปรายครั้งนี้ไม่มีเกี้ยเซี้ย แต่นั่นคือ “ผู้นำเบอร์ 2” เท่านั้น ส่วนผู้นำเบอร์ 1 ของก้าวไกลไม่เห็นด้วยกับแคมเปญ “รัฐบาลเพื่อใคร” ด้วยซ้ำ แต่ไม่ได้เข้าไปแทรกแซงการทำงานของพรรค
การเมืองสามเส้า เราขอมีอำนาจ
ในมุมมองของ “ผู้นำเบอร์ 1” มองการเมืองไทยนับจากนี้เป็น “สามเส้า” คือ
เส้าที่ 1 พรรคเพื่อไทย
เส้าที่ 2 พรรคก้าวไกล
เส้าที่ 3 พรรคภูมิใจไทย
สามพรรคนี้เท่านั้นที่มีศักยภาพและมีพลังมากพอที่จะมีบทบาททางการเมืองได้ ส่วนพรรคอื่นๆ เป็นแค่ตัวประกอบ รวมทั้งประชาธิปัตย์ท “ผู้นำเบอร์ 1” มองว่าปิดฉากลงแล้วตั้งแต่โหวตเลือก “เสี่ยต่อ” เฉลิมชัย ศรีอ่อน มาเป็นหัวหน้าพรรค
ก้าวไกล คิดไกล
มีการประเมินกันของกลุ่มผู้นำจิตวิญญาณว่า ก้าวไกลแม้จะมาแรง แต่ก็ไม่ใช่ง่ายที่จะแรงถึงแลนด์สไลด์ในการเลือกตั้งครั้งหน้า ฉะนั้นหากต้องการเข้าไปมีอำนาจ ก็ต้องจับมือกับพรรคใดพรรคหนึ่งใน 2 พรรคที่เหลือจากสามเส้าให้ได้ นั่นก็คือ ไม่จับกับเพื่อไทย ก็ต้องจับกับภูมิใจไทย
ซึ่งหากดูสไตล์การทำงาน และวิธีคิด วิสัยทัศน์ต่างๆ ก้าวไกลน่าจะเคมีเข้ากันกับเพื่อไทยมากว่าภูมิใจไทย
ดังนั้นด้วยเหตุนี้เองจึงมีสภาพ “เหมือนมีพลังงานบางอย่าง” ทำให้ก้าวไกลต่อยไม่สุดหมัดกับเพื่อไทย