"เศรษฐา" ยันไร้การนัดหมายพบ "ทักษิณ" ที่เชียงใหม่คาดมีโอกาสคงได้เจอ

9 มีนาคม 2567 เป็นประเด็นที่หลายฝ่ายกำลังจับตา โดยเฉพาะการเดินทางกลับบ้านเกิดที่ จ.เชียงใหม่ ระหว่างการพักโทษ ของ "นายทักษิณ ชินวัตร" อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกันกับที่ "นายเศรษฐา ทวีสิน" นายกฯ และรมว.คลัง เตรียมเดินทางลงไปติดตามสถานการณ์ฝุ่นในพื้นที่ จนถูกมองไปเรื่องดีลทางการเมือง

มีโอกาสคงได้เข้าพบทักษิณ-ครอบครัว

โดย นายเศรษฐา ให้สัมภาษณ์วานนี้ (8มี.ค.) ณ กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ถึงภารกิจการลงพื้นที่ จ.เชียงใหม่ ระหว่างวันที่ 15-17 มี.ค.นี้ ซึ่งจะไปติดตามเรื่องสถานการณ์ไฟป่า หมอกควัน และจะหารือกับผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ รวมถึงฝ่ายความมั่นคงในการแก้ไขปัญหายาเสพติด และไปติดตามโครงการพระราชดำริ

ส่วนจะมีโอกาสได้พบกับ นายทักษิณ ที่เตรียมเดินทางกลับบ้าน ไปไหว้บรรพบุรุษ และพบกับครอบครัว ที่ จ.เชียงใหม่ ในช่วงเวลาเดียวกันหรือไม่นั้น หากมีโอกาสและและสะดวก ก็คงจะได้พบกัน ตนได้เจอกับนายทักษิณ ไปครั้งหนึ่งแล้ว เจอครั้งที่สองคงไม่เป็นไร เพราะเป็นคนรู้จักกันอยู่แล้ว คนที่รู้จักกันแวะเข้าไปพูดคุยเป็นเรื่องธรรมดา แต่เบื้องต้นยังไม่ได้นัดหมายกับนายทักษิณ เพราะไม่ทราบว่าจะเดินทางไปที่ไหนเวลาใด

"กรมคุมประพฤติ-ราชทัณฑ์" ต้องตอบคำถาม

ขณะที่ "นายราเมศ รัตนะเชวง" โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า การที่นายทักษิณ เดินทางไป จ.เชียงใหม่ นั้น กรมคุมประพฤติและกรมราชทัณฑ์จะให้คำตอบได้ดีที่สุด ว่านายทักษิณจะเดินทางไปพื้นที่ต่างๆ เหมาะสม ถูกต้องตามระเบียบหรือไม่  

ทั้งนี้ ตนไม่สามารถไปก้าวล่วงอำนาจขององค์กรต่างๆได้  แต่เชื่อว่าประชาชนจับตาเรื่องนี้อยู่ และจะดูว่ากระบวนการ ไม่ว่าจะเป็นกรมคุมประพฤติหรือกรมราชทัณฑ์ จะมีกระบวนการที่เอื้อประโยชน์ ให้กับใครหรือไม่อย่างไร ตนตอบได้เท่านี้

ไม่ขอตอบปมปลุกมวลชนเสื้อแดง

ส่วนที่มีข่าวว่ากลุ่มคนเสื้อแดงเตรียมไปให้การต้อนรับ จะเป็นการปลุกระดมมวลชนหรือไม่นั้น นายราเมศ ปฏิเสธที่จะตอบคำถาม เนื่องจากเหตุการณ์ยังไม่เกิดขึ้น แต่ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง กรมคุมประพฤติและกรมราชทัณฑ์จะเป็นผู้พิจารณา ว่านายทักษิณจะสามารถปฏิบัติตนแบบนั้น ในฐานะที่ยังเป็นนักโทษอยู่ได้หรือไม่ จะทำอะไรได้มากน้อยขนาดไหน

"ขณะนี้นายทักษิณอยู่ระหว่างการพักโทษ หากทำอะไรไปโดยนอกเหนือจากปกติที่ทำได้ ก็ต้องมีคำตอบจากสองหน่วยงานนี้ และจะบอกว่ารัฐบาลไม่รู้เห็นไม่ได้ นายกรัฐมนตรีต้องรู้ รมว.ยุติธรรม ต้องรู้ และการกระทำสิ่งใดขอให้คำนึงถึงหลักการของบ้านเมือง" นายราเมศ กล่าว  

"เทพไท" ห่วง "ทักษิณ" กลับบ้านทำอาการวิกฤต

ด้าน "นายเทพไท เสนพงศ์" อดีต สส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ ได้โพสต์ผ่านเพจเฟซบุ๊ก เทพไท-คุยการเมือง โดยระบุว่า 

ห่วง "ทักษิณ" บินไปเชียงใหม่ สูดฝุ่น PM2.5 กลับมาป่วยวิกฤตอีก

การที่คุณทักษิณ ชินวัตร ขออนุญาตต่อกรมคุมประพฤติ เพื่อเดินทางไปจังหวัดเชียงใหม่ เป็นสิทธิ์ที่สามารถทำได้ ถึงแม้ว่าจะไม่มีการขออนุญาต ก็ไม่มีใครตรวจสอบอะไรได้ เพราะคุณทักษิณไม่ได้ติดกำไลEM เหมือนผู้พักโทษทั่วไป จึงไม่สามารถควบคุม และจำกัดพื้นที่การอยู่อาศัยของคุณทักษิณได้ จะแอบเดินทางไปไหนมาไหนก็ได้ ยิ่งเป็นการเดินทางโดยเครื่องบินเจ็ทส่วนตัว ยิ่งไม่มีใครรู้ความเคลื่อนไหวของคุณทักษิณด้วยซ้ำไป

พักโทษห่วงรพ.ตำรวจรักษาอาการไม่หายเท่ากับ

แต่สิ่งที่ผมแปลกใจก็คือ คุณทักษิณเป็นผู้ป่วยวิกฤติ ต้องพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลตำรวจนานถึง 180 วัน อาการไม่ดีขึ้นเลย แต่เมื่อได้รับสิทธิ์พักโทษ กลับมาอยู่บ้านจันทร์ส่องหล้า ใช้เวลาเพียง 15 วัน อาการป่วยก็หายเป็นปลิดทิ้ง สามารถรับแขกได้ทันที เดินทางไปไหนมาไหนได้เป็นปกติ ซึ่งเรื่องนี้ทำให้สังคมสงสัยในคุณภาพของหมอโรงพยาบาลตำรวจว่า มีประสิทธิภาพและความสามารถในการรักษาผู้ป่วยได้มากน้อยเพียงไร 

ชง กมธ.งบประมาณ 67 พิจารณางบโรงพยาบาลตำรวจ

กรณีคุณทักษิณอาจจะทำให้โรงพยาบาลตำรวจขาดความเชื่อมั่นจากสังคมได้ ถ้าหากหมอหรือโรงพยาบาล ไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอในการรักษาพยาบาลผู้ป่วย อยากเสนอให้คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พรบ.งบประมาณรายจ่าย ประจำปี 2567 ของสภาผู้แทนราษฎร ได้พิจารณาถึงการจัดงบประมาณ ในส่วนของโรงพยาบาลตำรวจด้วย

การที่คุณทักษิณหายป่วยจากการเป็นผู้ป่วยวิกฤตได้ไม่นาน แต่เดินทางไปที่จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีค่า PM 2.5 สูงในขั้นวิกฤต ก็เกรงว่า ถ้าหากคุณทักษิณไปสูดอากาศที่มีมลพิษสูง อาจจะทำให้กลับมาเป็นผู้ป่วยวิกฤตอีกครั้งหนึ่งได้

ขอเตือนในฐานะเพื่อนนักโทษที่ได้รับการพักโทษ

รวมทั้งมีกำหนดการรายละเอียดทั้ง 3 วัน เผยแพร่ผ่านสื่อแล้ว คุณทักษิณต้องเดินทางไปไหว้พระ ไหว้บรรพบุรุษ เดินตลาด แวะร้านกาแฟสถานที่ต่างๆหลายแห่ง นัดเพื่อนร่วมรุ่นมงฟอร์ต กินข้าวสังสรรค์กัน ตารางแน่นเอี๊ยด แทบจะไม่มีเวลาพักผ่อนเลย ซึ่งอาจจะทำให้คุณทักษิณเหนื่อย และอาการป่วยกำเริบขึ้นมาอีกได้ 

ผมจึงขอแสดงความห่วงใย ในฐานะที่เป็นเพื่อนนักโทษ ซึ่งได้รับการพักโทษเช่นเดียวกัน