svasdssvasds
เนชั่นทีวี

การเมือง

เด็ก ปชป. สอนมวย "เศรษฐา" ไปดูสินเชื่อที่อยู่จะช่วยเศรษฐกิจตรงจุดกว่า

09 กุมภาพันธ์ 2567
เกาะติดข่าวสาร >> Nation Story
logoline

เด็ก ปชป. สอนมวยนายกฯ หลัง กนง. คงดอกเบี้ย 2.5% "ชนินทร์" แนะ "เศรษฐา" ไปขอแบงค์ชาติดูสินเชื่อที่อยู่อาศัยดีกว่า เพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ แซะทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ทำไมถึงไม่เข้าใจ เตือนการเมืองควรรักษาระยะห่างกับ ธปท.

9 กุมภาพันธ์ 2567 จากกรณีที่ธนาคารแห่งประเทศไทย หรือ ธปท. โดยคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในการประชุมครั้งที่ 1/2567 เมื่อวันที่ 7 ก.พ. ที่ผ่านมา ซึ่งมีมติ 5 ต่อ 2 ให้คงดอกเบี้ยอยู่ที่ 2.5% เนื่องจากเศรษฐกิจมีความชะลอตัว เพราะภาคการส่งออกหดตัวนั้น

ก่อนที่ "นายเศรษฐา ทวีสิน" นายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง ออกมาแสดงความเห็นต่อเรื่องดังกล่าว โดยยืนยันว่าเคารพการตัดสิน แต่ถ้าถามความส่วนตัวก็ยอมรับว่าไม่เห็นด้วยกับมติ กนง. ที่ให้คงดอกเบี้ยไว้

โดย "นายชนินทร์ รุ่งแสง"  รองเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า การลดดอกเบี้ยแค่ 25 สตางค์ ไม่ได้ช่วยอะไร และกว่าจะส่งผลเศรษฐกิจจริงๆ ก็ไม่ใช่ระยะสั้นประมาณ 1 ปี ถึงจะเห็นผลทางเศรษฐกิจ แต่ควรไปขอให้แบงค์ชาติ ดำเนินการเรื่องมาตรการ LTV (Loan-to- Ratio) มีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการว่า "หลักเกณฑ์การกำกับดูแลสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยและสินเชื่ออื่นที่เกี่ยวข้องกับที่อยู่อาศัย" คือ เกณฑ์อัตราส่วนสินเชื่อต่อราคาบ้านที่รัฐบาลกำหนดไว้ ซึ่งทำให้ผู้ที่ต้องการกู้เงินจากธนาคารเพื่อนำมาซื้อบ้าน "ถูกจำกัดวงเงินในการกู้ตามกำหนด"

"หากเราช่วยอสังหาริมทรัพย์ จะได้ผลผลิตทางเศรษฐกิจชัดเจนและเร็วกว่า ทำไมเรื่องแค่นี้ นายกฯ ที่มาจากภาคอสังหาริมทรัพย์แท้ๆ จึงไม่เข้าใจและไม่สนใจ ซึ่งที่สำคัญรัฐบาล คือ ฝ่ายการเมือง ควรรักษาระยะห่างการเข้าไปกดดันเกี่ยวพันกับแบงค์ชาติมากเกินไป จะทำให้ภาพความน่าเชื่อถือของแบงค์ชาติที่ต้องการความเป็นอิสระลดลง" นายชนินทร์ ระบุ

 

นอกจากนี้ อยากย้ำว่า นโยบายคลัง คือ กลไกสำคัญที่อยู่ในมือรัฐบาล เหมือนลูกบอลอยู่ในเท้า ทำไมไม่ใช้ จะต้องรอโครงการดิจิทัลวอลเล็ตอย่างเดียว ไม่มีแผนสองเลยหรือ อย่างนี้จะดูแลประเทศ โดยเฉพาะปัญหาเฉพาะหน้าที่จะดูแลคนยากจน ที่รอการช่วยเหลืออยู่ได้อย่างไร

 

ขณะเดียวกัน ถ้าโครงการดิจิทัลวอลเล็ตไปไม่ไหว ยังไม่มีกำหนดที่ชัดเจน รัฐบาลควรดูแลคนจน กลุ่มเปราะบาง จำนวนไม่ถึง 20,000,000 คน ให้มีเงินใช้จ่ายอยู่ในมือ ซึ่งทำได้ทันที และไม่ต้องกู้เพราะใช้เงินประมาณ 200,000,000,000 บาท จบโครงการ โดยปัญหาเรื่องการบริโภคในประเทศ ไม่ได้มีปัญหารุนแรง เพราะว่ามีการเติบโตอยู่จากตัวเลขของสภาพัฒน์ฯ และแบงค์ชาติก็โตอยู่ประมาณ 7-8% แต่ที่มีปัญหา คือ การบริโภคใช้จ่ายของภาครัฐที่ลดลง ซึ่งเป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่จะต้องทำได้อยู่แล้ว คือ การไปเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณ การลงทุน ให้รวดเร็ว แต่ต้องไม่รั่วไหล

อย่างไรก็ตาม เงินเฟ้อลดลงไม่ใช่เรื่องที่จะตีความว่าเศรษฐกิจแย่เพราะรู้กันอยู่ มาจากการเข้าไปอุดหนุนราคาพลังงานน้ำมันและไฟฟ้า ทำให้เงินเฟ้อผิดเพี้ยนไปจากความเป็นจริง ดังนั้น ช่วงระยะเวลา 6 เดือนที่ผ่านมา ตั้งแต่รัฐบาลเข้ามาบริหารประเทศมีปัจจัยบวกทางเศรษฐกิจก็มาก ไม่ว่าจะเป็นการท่องเที่ยว การลงทุน และการจ้างงาน โดยเฉพาะภาคบริการปรับตัวดีขึ้น แต่ตัวเลขการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่ไม่ดี โทษใครไม่ได้ นอกจากการบริหารประเทศที่ล้มเหลวของรัฐบาลเอง

logoline