
หลังจาก "พรรคก้าวไกล" ชนะการเลือกตั้ง ได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล ด้วยการคว้าเก้าอี้ สส.151 ที่นั่ง แบบหักปากกาเซียน ฉีกโพลดังทุกสำนัก บ้านใหญ่แตกสาแหรกขาดในหลายจังหวัด แม้แต่พรรคเพื่อไทย ก็คงช็อกกับผลที่ออกมาเหมือนกัน แต่ต้องก้มหน้ายอมรับกับสิ่งที่เกิดขึ้น
พิธา ประกาศเป็น ว่าที่นายกฯ
หลังปิดหีบเลือกตั้งในวันที่ 14 พ.ค. วันรุ่งขึ้น "พิธา ลิ้มเจริญรัตน์" หัวหน้าพรรคก้าวไกล ในขณะนั้น ประกาศอย่าง "อหังการ" ณ ที่ทำการพรรคก้าวไกลว่า "ผม พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ว่าที่นายกรัฐมนตรีคนต่อไปของประเทศไทย ผมขอประกาศในที่นี้ว่า พรรคก้าวไกล พร้อมที่จะเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลต่อไป นี่คือการน้อมรับฉันทามติจากพี่น้องประชาชน พลิกขั้วเปลี่ยนข้างจากฝ่ายค้านเดิม ในการจัดตั้งรัฐบาล และผมพร้อมที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีของคนไทยทุกคน พร้อมฟังความคิดเห็นที่แตกต่าง และความคิดเห็นที่แตกต่าง จะทำให้ผมเป็นนายกรัฐมนตรีที่ดีขึ้นในอนาคต"
ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลก ของพรรคที่ได้เสียงสส.อันดับ 1 ที่จะประกาศจัดตั้งรัฐบาล แต่ไม่เคยมีใครประกาศอย่างเป็นทางการว่า เป็นว่าที่นายกรัฐมนตรี
ปฐมบท MOU ประวัติศาสตร์
พิธา ยังได้พูดถึง MOU เป็นครั้งแรกด้วยว่า การทำงานต่อจากนี้ว่า พรรคก้าวไกลจะเจรจาการจัดตั้งรัฐบาล และนำโรดแมปที่ได้สัญญาไว้ ไปคุยกับพรรคร่วมรัฐบาล และต้องมีการเซ็น MOU เหมือนการเมืองสากล เพราะจะเห็นความคาดหวังในการทำงาน และประชาชนเห็นได้ว่า สิ่งที่จะเกิดขึ้นภายในช่วง 100 วัน 1 ปี หรือสมัยแรกจะมีอะไรเกิดขึ้น
22 พ.ค. 66 เวลา 16.50 น. เป็นกำหนดการเซ็น MOU ( Memorandum of Understanding หมายถึง บันทึกความเข้าใจร่วมกัน แต่ไม่ใช่ข้อสัญญาผูกมัด) ของ 8 พรรคร่วมรัฐบาลก้าวไกล( พรรคก้าวไกล (151 ที่นั่ง), พรรคเพื่อไทย (141 ที่นั่ง), พรรคประชาชาติ (9 ที่นั่ง), พรรคไทยสร้างไทย (6 ที่นั่ง), พรรคเพื่อไทรวมพลัง (2 ที่นั่ง), พรรคเสรีรวมไทย (1 ที่นั่ง), พรรคเป็นธรรม (1 ที่นั่ง), พรรคพลังสังคมใหม่ (1 ที่นั่ง) รวม 313 ที่นั่ง) ซึ่งเป็นวันที่ตรงกับวันครบรอบ 9 ปีของการรัฐประหาร 2557
โดย MOU มีจำนวน 23 ข้อและอีก 5 ข้อ เป็นข้อตกลงแนวทางบริหารประเทศ และไม่ปรากฏมาตรา 112 และนิรโทษกรรมคดีการเมือง ที่ถูกจับจ้องจากหลายฝ่าย อยู่ใน MOU แต่พรรคก้าวไกล ยืนยันว่า มาตรา 112 เป็น 1 ใน 45 กฎหมาย ที่เตรียมยื่นในสภาฯ
เนื้อหา 23 ข้อของ MOU ในตำนาน
1. ฟื้นฟูประชาธิปไตย รวมถึงการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ของประชาชนให้เร็วที่สุด โดยมีสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญที่มาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชน
2. ยืนยันและผ่านกฎหมายสมรสเท่าเทียม เพื่อรับประกันสิทธิสมรสสำหรับคู่รักทุกเพศ โดยจะไม่บังคับ ประชาชนที่เห็นว่าขัดแย้งกับหลักการของศาสนาที่ตนเองนับถือ
3. ผลักดันการปฏิรูประบบราชการ ตำรวจ กองทัพ และกระบวนการยุติธรรม ให้สอดคล้องกับหลักประชาธิปไตย โดยยืดหลักความโปร่งใส ทันสมัย มีประสิทธิภาพ และผลประโยชน์สูงสุดของประชาชน
4. เปลี่ยนการเกณฑ์ทหารแบบบังคับ เป็นระบบสมัครใจ ทั้งนี้ยังคงไว้ซึ่งการเกณฑ์ทหารในยามศึกสงคราม
5. ร่วมผลักดันกระบวนการสร้างสันติภาพอย่างยั่งยืนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยคำนึงถึงหลักการด้านสิทธิมนุษยชน การอยู่ร่วมกันในสังคมพหุวัฒนธรรม การมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน รวมถึงทบทวนภารกิจของหน่วยงานและการบังคับใช้กฎหมายเกี่ยวกับความมั่นคง
6. ผลักดันการกระจายอำนาจทั้งในแง่ภารกิจและงบประมาณ เพื่อให้ท้องถิ่นตอบสนองความต้องการของ ประชาชนในพื้นที่ได้อย่างเหมาะสม มีประสิทธิภาพ ปราศจากการทุจริต
7. แก้ไขปัญหาการทุจริตคอร์รัปชันโดยการสร้างระบบและวัฒนธรรมรัฐโปร่งใส เปิดเผยข้อมูลรัฐในทุกหน่วยงาน
8. ร่วมฟื้นฟูเศรษฐกิจ โดยยึดหลักเพิ่มรายได้ประชาชน ลดความเหสื่อมล้ำ และสร้างระบบเศรษฐกิจที่เติบโตอย่างเป็นธรรม
9. ยกเครื่องกฎหมายเกี่ยวกับการทำมาหากิน และการดำรงชีวิตของประชาชน เช่น ตัด ลด หรือพักใช้ชั่วคราวซึ่งการอนุมัติ อนุญาตที่ไม่จำเป็น และเป็นอุปสรรคเพื่อปรับปรุงใหม่ ให้ความช่วยเหลือสภาพคล่องทางด้านการเงินและสร้างแต้มต่อให้กับ SME พร้อมกับมุ่งเน้นการเติบโต GDP ของ SME สนับสนุนอุตสาหกรรม และสินค้าไทยให้มีความเข้มแข็ง สามารถแข่งขันกับตลาดโลกได้
10. ยกเลิกการผูกขาดและส่งเสริมการแข่งขันทางการค้าที่เป็นธรรมในทุกอุตสาหกรรม เช่น เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โดยพรรคประชาชาติขอสงวนสิทธิ์ในการไม่เห็นด้วยเฉพาะเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ด้วยเหตุผลด้านศาสนา
11. ปฏิรูปที่ดินทั้งระบบ ด้วยการผลักตันกฎหมายปฏิรูปที่ดิน กระจายการถือครองที่ดินอย่างเป็นธรรมแก้ปัญหาแนวเขตป่าไม้และที่ดินของรัฐที่ทับซ้อนกับที่ดินของประชาชน รวมถึงการทบทวนคดีที่เป็นผลจากนโยบายทวงคืนผืนป่า
12. ปรับปรุงโครงสร้างการผลิตไฟฟ้า การคำนวณราคา และกำลังการผลิตที่เหมาะสม เพื่อลดค่าครองชีพประชาชนและสร้างความมั่นคงทางพลังงาน
13. จัดทำงบประมาณแบบใหม่ โดยเน้นใช้วิธีการจัดงบประมาณฐานศูนย์ (zero-based budgeting)
14. สร้างระบบสวัสดิการดูแลประชาชนตั้งแต่เด็กแรกเกิดจนถึงผู้สูงวัย โดยคำนึงถึงความเหมาะสมและภาระทางการคลังระยะยาว
15. แก้ไขปัญหายาเสพติด โดยเร่งด่วน
16. นำกัญชากลับไปอยู่ในบัญชียาเสพติดให้โทษ ผ่านบัญญัติของกระทรวงสาธารณสุข โดยมีกฎหมายควบคุมและรองรับการใช้ประโยชน์จากกัญชา
17. ส่งเสริมเกษตรและปศุสัตว์ปลอดภัย คุ้มครอง รักษาผลประโยชน์ของเกษตรกร ลดต้นทุนการผลิตส่งเสริมการตลาด ส่งเสริมการเข้าถึงเทคโนโลยี และแหล่งน้ำ สร้างความเข้มแข็งของกลุ่มงเกษตรกรเพื่อวางแผนการผลิตและรักษาผลประโยชน์กษตรกร ส่งเสริมอุตสาหกรรมแปรรูปผลผลิตทางการเกษตรเพื่อให้เกิดมูลค่าทางเศรษฐกิจ
18. แก้ไขกฎหมายประมง ขจัดอุปสรรค เยียวยา ฟื้นฟู และพัฒนาอาชีพประมงให้ยั่งยืน
19. ยกระดับสิทธิแรงงานทุกอาชีพให้มีสภาพการจ้างงานที่เป็นธรรม และได้รับค่าแรงที่เป็นธรรมสอดคล้องกับค่าครองชีพและการเติบโตของเศรษฐกิจ
20. ยกระดับระบบสาธารณสุข เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงระบบสาธารณสุขที่มีคุณภาพ ทั้งการป้องกัน รักษา และฟื้นฟูสุขภาพ
21. ปฏิรูประบบการศึกษาเพื่อยกระดับคุณภาพ ลดความเหลื่อมล้ำ และส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต
22. สร้างความร่วมมือและกลไกภายในและระหว่างประเทศ เพื่อแก้ปัญหาฝุ่นพิษ รวมถึงการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิให้เป็นศูนย์ (Net Zero) โดยเร็วที่สุด
23. ดำเนินการนโยบายการต่างประเทศ โดยการฟื้นฟูบทบาทผู้นำของไทยในอาเชียน ตามกรอบความร่วมมือต่างๆ โดยเฉพาะกรอบพหุภาคี และรักษาสมดุลการเมืองระหว่างประเทศของไทยกับประเทศมหาอำนาจ
ยกแรก "พิธา" คะมำหน้าบัลลังก์เก้าอี้นายกฯ
นับจากวันที่ 22 พ.ค. ที่รัฐบาลก้าวไกล ประกาศ MOU ประวัติศาสตร์ จนมาถึงห้วงเวลาสำคัญก่อนการตั้งรัฐบาล คือ การโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี รัฐธรรมนูญได้ให้อำนาจ สส.เลือกนายกรัฐมนตรี ที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน โดยต้องใช้เสียงมากกว่าครึ่งหนึ่งของสภาผู้แทนราษฎร หรือ 251 เสียง แต่ในบทเฉพาะกาลของรัฐธรรมนูญ กำหนดว่า ใน 5 ปีแรกของรัฐสภาใหม่ ให้ สว. ร่วมเลือกนายกรัฐมนตรีกับ สส. โดยรัฐสภาประกอบด้วย สส. 500 เสียง และ สว. 250 เสียง รวมเป็น 750 เสียง ผู้ที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีจะต้องได้รับเสียงมากกว่าครึ่งหนึ่งของรัฐสภาหรือ 376 เสียง
วันสำคัญก็มาถึง 13 ก.ค. สภาฯเปิดให้มีการโหวตเลือกนายกฯ แต่มีผู้ถูกเสนอชื่อเพียงคนเดียว คือ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ สมาชิกวุฒิสภาและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ได้ลุกขึ้นขานชื่อลงมติแบบเปิดเผย 750 คน แต่ มี สว. เข้าร่วมเพียง 216 คน โดยมีผู้เห็นชอบจำนวน 324 คน ไม่เห็นชอบ 182 คน และงดออกเสียง 199 คน ซึ่งสส.จากฝั่งว่าที่รัฐบาลก้าวไกลมาครบ 313 เสียง ที่เหลือเป็น สว. และสส.นอกคณะรัฐบาล จึงทำให้ พิธา ยังไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรี เหมือนดังที่ประกาศหลังการเลือกตั้ง คณะรัฐบาลก้าวไกลก็ยังเกิดขึ้นไม่ได้ด้วย เพราะนายกรัฐมนตรี จะต้องเป็นผู้เสนอรายชื่อคณะรัฐมนตรี โดยนัดประชุมโหวตนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง ในวันที่ 19 ก.ค.
หางรัฐบาลปัจจุบัน เริ่มโผล่
สาเหตุของการไม่ผ่านมติเห็นชอบจาก สมาชิกทั้ง 2 สภาฯ 1.พรรคฝ่ายตรงข้าม ที่ไม่โหวตให้อยู่แล้ว และเป็นที่น่าสังเกตด้วยว่า ตั้งแต่หลังการปิดหีบเลือกตั้ง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ เงียบผิดปกติ ขณะที่พล.อ.ประยุทธ์ ได้กล่าวในที่ประชุมพรรคกับสส.และสมาชิกว่า "ช่วงนี้ให้นิ่งเอาไว้ ไม่ต้องไปพูด ไม่ต้องไปให้สัมภาษณ์อะไร แล้วให้ยิ้ม ยิ้มสู้ ใครจะอะไรยังไงก็ยิ้มเอาไว้อย่างเดียว รอเวลาเท่านั้น และบอกว่า ผมเชื่อว่ายังไงเราก็เป็นรัฐบาล" 2.สมาชิกวุฒิสภา กังวล พรรคก้าวไกล ในเรื่อง ยกเลิกมาตรา 112
"ก้าวไกล" ว้าวุ่น หัวหายกลางสภาฯ
เมื่อถึงวันโหวตนายกรัฐมนตรีครั้งที่ 2 วันที่ 19 ก.ค. ก่อนการโหวตนายกฯ ได้มีการเสนอวาระว่า ยังจะเสนอชื่อ พิธา เป็นนายกรัฐมนตรี ครั้งที่ 2 ได้หรือไม่ เนื่องจากขัดต่อข้อบังคับการประชุมรัฐสภา ข้อที่ 41 โดยให้สมาชิกทั้ง 2 สภา โหวตลงมติ
แต่ในระหว่างนั้น เกิดเหตุช็อกกลางสภาฯ เมื่อ ศาลรัฐธรรมนูญ สั่งให้ พิธา หยุดปฏิบัติหน้าที่ เนื่องจากกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 82 ว่า สมาชิกภาพของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ สิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 101 (6) ประกอบมาตรา 98 (3) หรือไม่ (เรื่องพิจารณาที่ 23/2566) เป็นผู้ถือหุ้นในบริษัท ไอทีวี จำกัด (มหาชน) ซึ่งประกอบกิจการหนังสือพิมพ์หรือสื่อสารมวลชนใด ๆ อยู่ในวันที่สมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร แบบบัญชีรายชื่อ
หลังจากนั้นจึงได้ทำการโหวตต่อ ผลปรากฏว่า "พิธา ลิ้มเจริญรัตน์" หัวหน้าพรรคก้าวไกล และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีเพียงหนึ่งเดียวในบัญชีของพรรค ไม่ได้กลับมาอีกด้วยมติ 395 ต่อ 312 เสียง ชื่อของเขาจึงถูกตีตก
เพื่อไทย ขึ้นเป็นกัปตัน 8 พรรคร่วม
หลังจากนั้นอีก 3 วัน ในวันที่ 21 ก.ค. พรรคก้าวไกล แถลงให้พรรคอันดับสอง คือ พรรคเพื่อไทย เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลของพันธมิตร 8 พรรคที่ได้เคยทำ MOU กันไว้
หลังจากนั้นวันเดียวกัน แกนนำพรรคเพื่อไทย นำโดย ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย พร้อมด้วย ภูมิธรรม เวชชยชัย และ ประเสริฐ จ้นทรรวงทอง แถลงหลังจากพรรคก้าวไกล มีมติส่งไม้ต่อให้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล แต่ขอเสนอชื่อนายกรัฐมนตรีในวันที่ 27 ก.ค.
แนวทางจัดตั้ง รัฐบาลเพื่อไทย
นอกจากนี้วันเดียวกัน พรรคเพื่อไทยได้เรียก 8 พรรคร่วม มาพูดคุยหารือแนวทางการหาเสียงสนับสนุนให้ครบ 375 เสียง ในฐานะที่เป็นพรรคแกนนำจัดตั้งรัฐบาล โดยผลการประชุม มี 3 แนวทาง คือ
1. ขอเสียงจาก สว.
2. ขอเสียงจาก สส.
3. แนวทางอื่น
โดย ชลน่าน ศรีแก้ว ย้ำว่า ถ้าแนวทางที่ 1 และ 2 ไม่สำเร็จ ทางเลือกที่ 3 จะเป็นแนวทางของพรรคเพื่อไทยเองคือ ไม่ได้เป็นแนวทางของ 8 พรรคร่วม ซึ่งอาจจะมีพรรคใดพรรคหนึ่งไม่ได้อยู่ในพรรคร่วมเหมือนเดิม
ในขณะที่ฝั่งรัฐบาลเดิม หรือ รัฐบาลลุงตู่ รวมทั้ง สว.ต่างยินดี พร้อมสนับสนุนพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล และกล่าวย้ำเป็นเสียงเดียวกันว่า ไม่เอาพรรคก้าวไกล เพราะนโยบายแก้ไขหรือยกเลิก มาตรา 112
หลังจากนั้น พรรคเพื่อไทย ก็เดินตามแนวทางที่ได้ประชุมกับ 8 พรรคร่วมรัฐบาลเดิม และมีการเดินสายพบปะสว.และพรรคร่วมรัฐบาลลุงตู่ และความเห็นต่างๆ ได้นำไปรายงานให้กับ 8 พรรคร่วมเป็นระยะ โดยเฉพาะ เรื่องการแก้ไขมาตรา 112 ที่เป็นเข็มย้ำ 8 พรรคทุกครั้ง
วันด้ายแดงขาด
เช้าวันที่ 2 ส.ค. แกนนำพรรคก้าวไกล (ก.ก.) และพรรคเพื่อไทย (พท.) นัดหารือกัน ณ ที่ทำการพรรคเพื่อไทย ถ.เพชรบุรีตัดใหม่ เรื่องการจัดตั้งรัฐบาล ก่อนถึงวันโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีในครั้งที่ 3 วันที่ 4 ส.ค. นี้ โดยใช้เวลาราว 2 ชม.
จากนั้นแกนนำพรรค พท. ได้โทรศัพท์ถึงเลขาธิการ 6 พรรคร่วมจัดตั้งรัฐบาลชุดเดิม เพื่อแจ้งผลหารือระหว่าง 2 พรรคการเมือง และขอให้เป็นดุลยพินิจของแต่ละพรรคในการตัดสินใจ หากเห็นด้วยกับแนวทางที่พรรคเพื่อไทยนำเสนอ ก็สามารถเข้าร่วมรัฐบาลได้
เวลา 14.20 น. แกนนำพรรคเพื่อไทย ประกาศ สลัดทิ้งก้าวไกล ฉีกเอ็มโอยู 8 พรรค อ้างเจอทางตันไร้พันธมิตรทั้ง สส.- สว.ไม่เอาพรรคแก้ ม.112 ชูภารกิจแรก ออกมติ ครม.ทำประชามติแก้ รธน.60 เป็นวาระแห่งชาติ ร่างเสร็จยุบสภาฯ คืนอำนาจเลือกตั้งใหม่ทันที มั่นใจเสียง 13 พรรค ไม่เอาพรรค 2 ลุงรวมกับ สว.ดัน "เศรษฐา" ขึ้นแท่นนายกฯคนที่ 30 ได้แน่นอน
สุดท้ายพรรค 2 ลุง ที่ถูกปฏิเสธมาตลอด เข้าทำเนียบอย่างสง่า
แต่ต่อมา วันที่ 21 ส.ค. ที่อาคารรัฐสภา พรรคเพื่อไทย นำโดย นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรค นายภูมิธรรม เวชยชัย รองหัวหน้าพรรค และนายประเสริฐ จันทรรวงทอง เลขาธิการพรรค ได้เปิดแถลงข่าว "จัดตั้งรัฐบาล 11 พรรค จำนวน 314 เสียง" ประกอบด้วย พรรคเพื่อไทย (141 ที่นั่ง) พรรคภูมิใจไทย (71 ที่นั่ง) พรรคพลังประชารัฐ (40 ที่นั่ง) พรรครวมไทยสร้างชาติ (36 ที่นั่ง) พรรคชาติไทยพัฒนา (10 ที่นั่ง)
พรรคประชาชาติ (9 ที่นั่ง) พรรคอื่นๆอีกจำนวน 5 พรรค ได้แก่ พรรคชาติพัฒนากล้า 2 ที่นั่ง/ พรรคเพื่อไทยรวมพลัง 2 ที่นั่ง/ พรรคเสรีรวมไทย 1 ที่นั่ง/ พรรคท้องที่ไทย 1 ที่นั่ง/ พรรคพลังสังคมใหม่ 1 ที่นั่ง
กระทั่งถึงวันโหวตนายกฯ วันที่ 22 ส.ค. ที่ประชุมรัฐสภา มีมติ 482 ต่อ 165 เห็นชอบให้ "เศรษฐา ทวีสิน" เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 สมใจ ในจำนวนนี้เป็นคะแนนจาก สว. ถึง 152 เสียง และยังมี สส. พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) 16 เสียง "แหกมติพรรค" ซึ่งยังเป็นสิ่งคาใจของสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ มาจนถึงปัจจุบันว่า อาจจะมีการเข้าร่วมรัฐบาลในภายหลัง
"MOU" ไม่สามารถการันตีอะไรได้เลย "พิธา" ไม่ได้เป็นนายกฯ "พรรคก้าวไกล" ไม่ได้เป็นรัฐบาล เหมือนละครเรื่องนี้ได้ถูกกำหนด เพื่อรอวันฉายไว้แล้ว หันไปมองชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ นั่นปะไร