ภายหลังนายกเศรษฐา ทวีสิน แถลงข่าวโครงการแจกเงิน 10,000 บาท ผ่านดิจิทัลวอลเล็ต พร้อมมั่นใจว่าจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก โดยเคาะเงื่อนไขแจกเงินแก่ผู้มีสิทธิเข้าร่วมอายุ 16 ปีขึ้นไป มีรายได้ไม่เกิน 70,000 บาทต่อเดือน หรือ มีเงินฝากทุกบัญชี รวมไม่เกิน 500,000 บาท ขยายการใช้เงินครอบคลุมระดับอำเภอแทน เริ่มโครงการช่วงเดือนพฤษภาคม 2567 ไปสิ้นสุด เมษายน 2570 ภายใต้กรอบงบประมาณ 500,000 ล้านบาท ครอบคลุมประชาชน 50 ล้านคน
12 พ.ย.66 ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.ปรีชา สุวรรณทัต อดีตคณบดีคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และผู้เชี่ยวชาญกฎหมายการเงินการคลัง แจกแจงถึงความเป็นไปได้ต่อโครงการดังกล่าวให้เนชั่นออนไลน์ฟังว่า การแจกเงินดิจิทัลโดยการกู้เงินตามมาตรา 53 กฎหมายวินัย ไม่อยู่ในข่ายจำเป็นเร่งด่วนและวิกฤติของประเทศ
ทั้งนี้ได้เคยทักท้วง “การแจกเงินดิจิทัล” เป็นการจ่าย “เงินแผ่นดิน” ที่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 140 บัญญัติไว้ ดังนี้ “การจ่ายเงินแผ่นดิน จะกระทำได้เฉพาะที่ได้อนุญาตไว้ในกฎหมายว่าด้วยงบประมาณรายจ่าย กฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณ หรือกฎหมายเกี่ยวด้วยการโอนงบประมาณ กฎหมายว่าด้วยเงินคงคลัง หรือกฎหมายว่าด้วยวินัยการเงินการคลังของรัฐ....”
ซึ่งในที่สุดคณะรัฐมนตรีที่มี นายกเศรษฐา ได้สร้าง “Fake News เพื่อใช้ Fake Law” (กฎหมายปลอม) ขึ้นมาใหม่โดยใช้การกู้เงินตามมาตรา 53 ของพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลัง พ.ศ. 2561 ที่บัญญัติไว้ในตอนท้ายของมาตรา 140 ที่อนุญาตให้จ่ายเงินแผ่นดินได้ตามกฎหมายวินัยการเงินการคลัง มาตรา 53 บัญญัติเงื่อนไขไว้ในวรรคหนึ่ง ดังนี้
“การกู้เงินของรัฐบาลนอกเหนือจากที่บัญญัติไว้ในกฎหมายบริหารหนี้สาธารณะให้กระทรวงการคลังกระทำได้โดยอาศัยกฎหมายที่ตราขึ้นเป็นการเฉพาะ และเฉพาะกรณีจำเป็นที่ต้องดำเนินการโดยเร่งด่วนและอย่างต่อเนื่องเพื่อแก้ไขปัญหาวิกฤติของประเทศ โดยไม่อาจตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีได้ทัน......”
“การแจกเงินดิจิทัล” ไม่อยู่ในข่ายหลักเกณฑ์ตามมาตรานี้ คือ
( กรณีเหตุจำเป็นอย่างไม่มีทางเลี่ยง(Necessary) )
ต้องเพื่อ “แก้ไขปัญหาวิกฤติของประเทศ” หมายถึงในสถานการณ์ที่ประเทศตกอยู่ในอันตรายล่อแหลม เช่น ในภาวะสงคราม การเกิดโรคระบาดอย่างร้ายแรง แต่กรณีแจกเงินดิจิทัลเป็นเพียงวิกฤติของรัฐบาลเศรษฐาที่สร้าง “Fake News” ขึ้นมาและในที่สุดก็ไม่อาจหาเงินเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในเรื่องนี้ได้เท่านั้น ไม่ใช่เกิดจากวิกฤติของประเทศแต่อย่างไรเลย
การใช้มาตรา 53 ของกฎหมายวินัยการเงินการคลัง เป็นการกู้เงินที่ไม่มีเพดานจำกัด เป็นเงินนอกงบประมาณ ที่ไม่ต้องส่งเข้าเป็นเงินคงคลัง เป็นข้อยกเว้นนอกเหนือกฎหมายว่าด้วยการบริหารหนี้สาธารณะ ที่กำหนดวัตถุประสงค์ไว้และมีเพดานการกู้เงินไว้ชัดเจน การจะใช้มาตรา 53 ที่นำมาบัญญัติไว้ในกฎหมายว่าด้วยวินัยการเงินการคลังของรัฐอย่างผิดที่ผิดทาง และมีบทบัญญัติที่เป็นการทำลายวินัยการเงินการคลังเสียเอง อันขัดกับชื่อว่าเป็นกฎหมายว่าด้วยวินัยการเงินการคลังของรัฐ แม้จะใช้เสียงข้างมากในสภาผ่านไปได้ แต่อาจถูกศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้ตกเป็นโมฆะได้ และ “รัฐบาลเศรษฐา” จะต้องออกเพราะเหตุนี้