17 กันยายน 2566 นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวถึงการประกาศปราบปรามยาเสพติดให้ลดลงภายใน 1 ปีว่า ในขณะนี้ ได้มอบหมายให้คณะทำงาน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปพิจารณาระเบียบต่าง ๆ โดยจะต้องดำเนินการตามกฎหมาย และให้ความเป็นธรรมทุกฝ่าย ซึ่งจะต้องมีการทบทวนรายละเอียดอีกครั้งหนึ่ง โดยเฉพาะการยึดทรัพย์ และการถ่ายโอนทรัพย์สิน เพื่อให้ประเด็นที่สังคมตั้งข้อสงสัยหมดไป โดยกำหนดระยะเวลาการตรวจยึด และการทำลาย จะต้องทำอย่างถูกขั้นตอน และรวดเร็วที่สุด ลดการเคลื่อนย้าย
โดยขณะนี้ ได้มีการตั้งคณะทำงานแล้วในวันนี้ (17 ก.ย.) ซึ่งมีการให้ทหารเข้ามาร่วมงานด้วย เพื่อตรึงกำลังพื้นที่ชายแดน ที่มีการลักลอบนำเข้ายาเสพติด และขอเวลาให้คณะทำงานได้มีการดำเนินงานก่อนจะเปิดเผยรายละเอียดต่าง ๆ
ส่วนการกำชับกระทรวงมหาดไทยในการดูแลชุมชน เพื่อลดปัญหายาเสพติดในพื้นที่นั้น นายกฯ ย้ำว่า การแก้ไขปัญหายาเสพติด จะต้องเริ่มต้นที่ครอบครัวก่อน ที่จะต้องป้องกันไม่ให้สมาชิกในครอบครัวไปเสพ ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการสร้างความเข้มแข็งให้กับทุกครัวเรือน และให้ความสำคัญกับการป้องกัน โดยหลังจากนี้ คณะกรรมการที่มีการตั้งขึ้นมาในวันนี้ (17 ก.ย.) จะดำเนินโครงการต่าง ๆ เพื่อให้ทุกครอบครัวร่วมกันป้องกันปัญหายาเสพติด โดยยอมรับว่า มีความเป็นห่วงในทุกมิติที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติด ทั้งผู้เสพ ผู้ค้า และกฎหมายการยึดทรัพย์ รวมถึงการทำลาย โดยจะพยายามดำเนินการให้กระชับที่สุด และจะกำชับทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้ง กระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข และสำนักงานตำรวจแห่งชาติร่วมดำเนินการ
นายกฯ ยังกล่าวถึงนโยบายกัญชาของพรรคภูมิใจไทยในรัฐบาลชุดที่ผ่านมา ที่เกิดปัญหาในชุมชน และโรงเรียนว่า กัญชา จะต้องใช้เพื่อสนับสนุนทางการแพทย์เท่านั้น และจะมีการออกมาตรการตามมา ซึ่งนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ก็ได้ย้ำกับตนว่า นโยบายกัญชา จะต้องเป็นนโยบายทางการแพทย์
ทั้งนี้ นายกฯ ได้เป็นประธานในพิธีเผาทำลายยาเสพติดของกลาง โดยมีคณะรัฐมนตรี, นายศุภมิตร ชิณศรี ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรปราการ, หัวหน้าส่วนราชการ หน้าที่กระทรวงยุติธรรม, กระทรวงสาธารณสุข, กระทรวงแรงงาน, กระทรวงศึกษาธิการ, กระทรวงอุตสาหกรรม, สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เข้าร่วม
โดยนโยบายรัฐบาลให้หน่วยงานราชการบูรณาการ และเป็นเสาหลักในการแก้ไขปัญหายาเสพติด ตามประมวลกฎหมายยาเสพติด ร่วมกับการปราบปรามผู้มีอิทธิพล โดยยึดหลักการ “เปลี่ยนผู้เสพเป็นผู้ป่วย” และต้องดำเนินการอย่างจริงจัง และเป็นระบบ ในขณะที่ผู้ค้า ต้องปราบปรามอย่างเข้มข้น เพราะเป็นอาชญากรที่นอกจากต้องต้องโทษจำคุกแล้ว ยังควรถูกยึดทรัพย์ด้วย จึงขอให้ทุกหน่วยงานเร่งยึดทรัพย์ อย่าให้มีการโอนถ่ายได้ง่าย
“รัฐบาลเอาจริงในการแก้ปัญหายาเสพติด และปัญหายาเสพติด จะต้องลดลงภายใน 1 ปี และจะทำให้ยาบ้าหมดไปให้ได้ โดยจะยึดหลักนิติธรรมนิติรัฐ ให้ประชาชนรู้สึกปลอดภัยที่จะแจ้งเบาะแสเจ้าหน้าที่”
สำหรับการเผาทำลายยาเสพติดครั้งนี้ เป็นการทำลายของกลางยาเสพติดของกลางจากคดียาเสพติดจำนวน 100 คดี เป็น ยาบ้ากว่า 12,000 กิโลกรัม, ไอซ์กว่า 11,000 กิโลกรัม, เฮโรอีน 418 กิโลกรัม, ฝิ่น 179 กิโลกรัม, คีตามีน 704 กิโลกรัม และสารเสพติดอื่น ๆ น้ำหนักรวมกว่า 25,000 กิโลกรัม ซึ่งเป็นการเผาทำลายด้วยการเผาไหม้ด้วยระบบเตาเผาอุณหภูมิสูง 800-1,200 องศาเซลเซียส และใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง พร้อมระบบควบคุมมลพิษอากาศที่มีประสิทธิภาพสูง สามารถทำลายได้หมดสิ้น และไม่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและประชาชน
ขณะเดียวกัน นายกฯ ยังเป็นประธานการประชุมขับเคลื่อนการป้องกัน ปราบปราม และแก้ไขปัญหายาเสพติด โดยมี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม และนพ.ชลน่าน ศรีแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข และนพ.พรหมมินทร์ เลิศสุริย์เดช เลขาธิการนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยข้าราชการ และเจ้าหน้าที่กระทรวงยุติธรรม, กระทรวงสาธารณสุข, กระทรวงแรงงาน, กระทรวงศึกษาธิการ, กระทรวงอุตสาหกรรม, สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด และสำนักงานตำรวจแห่งชาติร่วมประชุม เพื่อกำหนดแผน 3 ระยะ เพื่อลดปัญหายาเสพติดในสังคม และให้ประเทศไทยกลับมามีสถาบันครอบครัวที่เข้มแข็ง โดยให้ผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นเจ้าภาพหลักในการแก้ไขปัญหายาเสพติดในพื้นที่อย่างจริงจัง