12 กันยายน 2566 นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน กล่าวถึงทิศทางการเมืองหลังจากคณะรัฐมนตรี (นายเศรษฐา ทวีสิน) แถลงนโยบายต่อรัฐสภาเสร็จสิ้นแล้ว ว่า เป็นการนับหนึ่งของรัฐบาลในทุกด้าน โดยความเป็นรัฐบาลของนายเศรษฐา ถือว่าเสร็จสิ้นสมบูรณ์ พร้อมเดินหน้าปฏิบัติหน้าที่อย่างเป็นทางการ ดังนั้นหลังจากนี้กระบวนการตรวจสอบคุณสมบัตินายกฯ หรือ การกระทำอื่นใด ก็จะสามารถเริ่มต้นขึ้นได้ทันทีเช่นกัน
ทั้งนี้ เพราะว่าที่ผ่านมาไม่ว่าซีกของวุฒิสภา หรือแม้แต่ซีกสภาผู้แทนราษฎร รวมถึงภาคประชาชนที่รอการตรวจสอบ โดยเฉพาะประเด็นที่นายชูวิทย์ กมลวิศิษฐ์ อดีตนักการเมือง เคยออกมาปักธงแฉเอาไว้ก่อนหน้าเรื่องบริษัท แสนสิริ ยังไม่สามารถกระทำการใด ๆ ได้เลย เนื่องจากตัวนายกฯยังไม่ได้ทำหน้าที่ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ
นายจตุพร กล่าวอีกว่า การปฏิบัติตามนโยบายต่าง ๆ ภายใต้การเป็นรัฐบาลลักษณะนี้ ซึ่งถ้านายกฯคิดได้ก็ควรจำเป็นจะต้องใช้เวลาทุกนาทีอย่างมีค่าสูงสุด โดยแท้จริงแล้วนโยบายที่ใช้ในการหาเสียง กับนโยบายที่แถลงต่อรัฐสภาควรเป็นเรื่องเดียวกัน แต่ในที่สุดกลับมีการแปลงภาษาในหลายกรณีด้วยกัน ตามที่พรรคฝ่ายค้านได้อภิปรายถล่มไปเมื่อวานนี้
"ส่วนตัวมองว่าการเข้ามาเป็นรัฐบาลโดยการตระบัดสัตย์เช่นนี้ แม้ว่าการคิดอ่าน ต้องการเอาผลงาน แต่เนื้อหาการแถลงนโยบาย ยังห่างกับนโยบายที่ใช้ในการหาเสียงหลายข้อ อีกทั้งการเป็นนักการเมืองหมายเลขหนึ่ง คือ ตำแหน่งนายกฯ จะต้องรับการเผชิญหน้าต่อการตรวจสอบทุกชนิด ซึ่งเป็นเรื่องปกติในระบอบประชาธิปไตย ไม่ว่าใครจะขึ้นมาดำรงตำแหน่งนี้ก็ตาม โดยไม่มีข้อยกเว้นใด ๆ เพราะตัวเองเป็นผู้มีหน้าที่ดูแลภาษีประชาชนทั้งหมด" นายจตุพร กล่าว
นายจตุพร ยังมองเสถียรภาพของครม.ชุดนี้ไว้ด้วยว่า ต้องดูตั้งแต่ตัวนายกฯ ก่อน เนื่องจากเดือนพ.ค.ปีหน้า สว. จะหมดวาระ ซึ่งถ้าผ่านช่วงนี้ไปได้โอกาสที่ครม.จะอยู่ยาว ก็อาจมีให้เห็น แต่ถ้าฝ่ายตรงข้ามคิดจะลงมือนั้น คงจะไม่ปล่อยให้เกินเดือนพ.ค.
เพราะต้องเผื่อเหลือเผื่อขาดเวลาเอาไว้ จึงต้องจับตาด้วยว่าหลังจากนี้ฝ่ายปฏิบัติการทั้งหลาย จะเดินเรื่องราวอย่างไรต่อไป โดยทุกคนต่างรอให้รัฐบาลขับเคลื่อนงาน โดยเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวข้องกับนายกรัฐมนตรี ซึ่งจะทำให้คำนวณเวลาที่เหลือหลังจากนี้ได้ง่ายขึ้น