แม้ว่าพรรคเพื่อไทย จะไม่ได้ประกาศนโยบายสุดโต่งแบบพรรคก้าวไกล โดยเฉพาะเรื่องการปฏิรูปกองทัพ แต่สังคมก็คาดหวังที่จะเห็นความเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะเรื่องการเกณฑ์ทหาร การปรับลดนายพล
ดังนั้นก่อนเริ่มต้นการทำงานอย่างเป็นทางการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม คนที่ 42 จึงออกเดินสายขอคำชี้แนะจากอดีตนายทหารผู้มากบารมี ซึ่งเป็นทั้งอดีตนายกรัฐมนตรี อดีตรัฐมนตรีกลาโหม และอดีตผู้บัญชาการทหารบก อาทิ พล.อ.ธรรมรักษ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต พล.อ.เชษฐา ฐานะจาโร และ พล.อ.ชวลิตร ยงใจยุทธ รวมถึงนักวิชาการด้านความมั่นคง ซึ่งเพียงเท่านี้ก็พอจะทำให้เห็นได้ว่า นายสุทิน มีความตั้งใจและพยายามที่จะทำหน้าที่อย่างสุดความสามารถ แม้ไม่มีประสบการณ์ด้านการทหารก็ตาม
สำหรับแผนปฏิรูปกองทัพ หลักคือ การลดจำนวนนายพล ยกเลิกการเกณฑ์ทหาร การลดงบประมาณ โดยเฉพาะงบซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ นำเงินไปใช้อย่างอื่นที่จำเป็นกว่า การยุบเลิกหรือปรับภารกิจหน่วยงานความมั่นคงบางหน่วยงาน โดยเฉพาะ กอ.รมน. ในภารกิจดับไฟใต้ และ การจัดโครงสร้างองค์กรกลาโหมใหม่ แบบ “จิ๋วแต่แจ๋ว” ใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยงานด้านความมั่นคงและการรบมากยิ่งขึ้น
เมื่อดูแนวทางการปฏิรูปที่กองทัพได้วางไว้ ประกอบกับความตั้งใจเรียนรู้งานของนายสุทิน ทำให้อดีตสนามไชย 1 อย่าง บิ๊กเหวียง พล.อ.เชษฐา ฐานะจาโร เชื่อมั่นว่า รัฐมนตรีกลาโหมป้ายแดงคนนี้ จะเดินหน้าไปได้
ด้าน อ.ปณิธาน วัฒนายากร นักวิชาการด้านความมั่นคงและต่างประเทศ กล่าวว่า การมาของนายสุทิน เป็นการทำงานในความสัมพันธ์ยุคใหม่ ถือว่ามีความท้าทาย ไม่นานก็คงเห็นภาพชัดเจนขึ้น ซึ่งอาจจะเริ่มต้นที่ยุทธศาสตร์ชาติ ซึ่งมีการเขียนสรุปปัญหาและอุปสรรคในการพัฒนากองทัพมีปัจจัยอะไรบ้าง รวมทั้งปัจจัยที่จะนำไปสู้ความสำเร็จ ซึ่งรัฐมนตรีกลาโหมสามารถนำเอาการประเมินของยุทธศาสตร์ชาติของสภาพัฒน์มาใช้ประโยชน์ได้เลย
จะเห็นว่าแค่เริ่มต้นความท้าทายก็มารอตรงหน้าแล้ว ส่วนภารกิจจะไปได้ไกลแค่ไหน คงต้องติดตามกันต่อไป แต่อย่างน้อยอดีตครูคนนี้ ก็พยายามศึกษางานทหารให้มากที่สุด