svasdssvasds
เนชั่นทีวี

การเมือง

สมาคมนักข่าวฯ เชิญนักวิชาการฝาก"การบ้าน ครม.เศรษฐา1 แก้วิกฤตประเทศ"

03 กันยายน 2566
เกาะติดข่าวสาร >> Nation Story
logoline

สมาคมนักข่าวฯ จัดเสวนาเสวนาฝาก"การบ้าน ครม.เศรษฐา1 แก้วิกฤตประเทศ" "นณริฏ" ชี้ เงินดิจิตัล 1 หมื่นอาจทำเงินเฟ้อ ด้าน "ธนิต" ระบุ ควรเร่งทำ quick win กระตุ้นเศรษฐกิจ-แก้หนี้ครัวเรือน "เกียรติอนันต์" แนะทลายกรอบการศึกษา ส่วน "นิติรัตน์" บอกควรส่งเสริมรัฐสวัสดิการถ้วนหน้า

3 กันยายน 2566 ที่อาคารบางซื่อ จังชั่น สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย จัดราชดำเนินเสวนา "การบ้าน ครม.เศรษฐา1 แก้วิกฤตประเทศ" วิทยากรประกอบด้วย นายนณริฏ พิศลยบุตร นักวิชาการอาวุโสสถาบันการวิจัยเพื่อพัฒนาประเทศไทย (TDRI) , นายธนิต โสรัตน์ รองประธานสภาองค์การนายจ้างผู้ประกอบการค้า และอุตสาหกรรมไทย , นายเกียรติอนันต์ ล้วนแก้ว อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ , นายนิติรัตน์ ทรัพย์สมบูรณ์ ผู้ประสานงานเครือข่าย We Fair

โดยนายนณริฏ กล่าวว่า จากผลการเลือกตั้งที่ผ่านมา ฝ่ายอนุรักษ์นิยม หันมามาสนับสนุนเสรีนิยม และรัฐสวัสดิการมากขึ้น ในระยะยาวจะเห็นนโยบายใหม่ๆมากขึ้น ส่วนรัฐบาลเศรษฐา1 เมื่อรวมกับ 2 ลุง (พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ) ก็จะรวมฝ่ายอนุรักษ์นิยม เสรีนิยม และรัฐสวัสดิการ เข้าด้วยกัน ซึ่งคาดหวังอยากเห็นนโยบายที่ไม่เอื้อต่อนายทุน ,นโยบายที่ลดความเหลื่อมล้ำ ให้โอกาส ช่วยเหลือกลุ่มเปราะบาง, นโยบายที่ไม่แจกเงินโดยไร้ความรับผิดชอบ ความจำเป็น ต่อการแจก และเป็นภาระทางการคลัง  รวมถึงนโยบายพัฒนาทุนนิยมแบบโลกยุคใหม่ รักษาขนบธรรมเนียมแบบเหมาะสม ไม่อยากให้เกรงกลัวต่างๆชาติมากเกินไป ดังนั้น จึงจะเป็นนโยบายที่ร่วมกันได้ทุกฝ่าย

นณริฏ พิศลยบุตร

ทั้งนี้ ความท้าทายของเศรษฐกิจในยุคหลังโควิด ที่เป็นเรื่องท้าทายของรัฐบาลเศรษฐา1 ในระยะยาวเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ภาครัฐต้องจัดคนเพื่อเข้ามาขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ต้องคิดใหม่ทำใหม่ เช่น ภาคการท่องเที่ยว ถ้าต้องการจำนวนคนเข้ามากขึ้น ก็ต้องอุดหนุนทรัพยากรที่เรามี ด้านอาหาร ความต้องการอาจจะมากขึ้น แต่คุณภาพอาหารไม่ได้ดีขึ้นก็ต้องปรับปรุง

ส่วนความท้าทายระยะสั้น รัฐบาลจะต้องต่อสู้กันระหว่างแรงกดดันที่ประชาชนอยากให้รัฐบาลทำตามที่หาเสียงไว้ แต่เมื่อสถานการณ์เปลี่ยน ก็ต้องคัดกรองว่า นโยบายไหนบ้างยังจำเป็นที่ต้องทำอยู่ นโยบายไหนเหมาะสมกับช่วงสถานการณ์ปัจจุบัน

นอกจากนี้ยังได้ฝากเสนอรัฐบาลในเรื่องเงินดิจิตัล 10,000 บาท ที่จะสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นได้ แต่ก็ต้องดูความเหมาะสมของสถานการณ์ และต้องดูว่าต้องกระตุ้นเท่าไร ถ้ากระตุ้นมากไปอาจจะทำให้เกิดเงินเฟ้อได้ หรือเอามาทำรัฐสวัสดิการอย่างอื่นแทน

อีกทั้งยังมีเรื่องหนี้ครัวเรือนที่สูงมาก จะต้องทำให้ประชาชนลดค่าใช้จ่าย และเพิ่มเรื่องของความพอเพียงหรือต้องมีเงินออม ซึ่งควรจะเป็นเรื่องแรกๆที่รัฐบาลจะต้องทำ เรื่องกระจายอำนาจ เพื่อให้มีการดูแลพัฒนาในพื้นที่มากขึ้น และการต่อยอดสิ่งที่มีอยู่แล้ว อย่างบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เพื่อเข้าถึงคนหมู่มาก และต้องทำให้คนยืนได้ด้วยตัวเอง

อย่างไรก็ตามตนมองว่า รัฐบาลมีความเสี่ยง หน้าตารัฐมนตรีเราเลือกเองไม่ได้ เพราะเป็นกลไกทางการเมือง แต่เราเลือกนโยบายที่ดีที่สุดได้

ธนิต โสรัตน์

ด้านนายธนิต กล่าวว่า นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เป็นตัวเลือกที่ไม่มีทางเลือก เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดในรายชื่อแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี และไม่ต้องเรียนรู้งานมาก เพราะมาจากภาคธุรกิจ แต่สภาพเศรษฐกิจที่อยู่ในสภาวะที่บอบช้ำต่อเนื่องมาหลายปี จากการรัฐประหาร และตลอด 9 ปี ที่ผ่านมา รัฐบาลเน้นไปที่ความมั่นคงมากกว่าเศรษฐกิจ รวมถึงยังต้องเจอวิกฤตโลก ปัญหาสภาพคล่อง และหนี้เปราะบาง ที่ล้วนติดลบหดตัวอย่างหนัก

ดังนั้น รัฐบาลใหม่ต้องเข้ามาแก้ปัญหาเหล่านี้ โดยมีมาตรการ quick win คือ การแก้ปัญหาระยะสั้นที่ต้องทำให้เสร็จภายใน 3 เดือน แม้บางนโยบายอาจไม่ตอบโจทย์ความหวังของประชาชน แต่รัฐบาลควรเร่งดำเนินการ ได้แก่ ออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะเร่งด่วน ไม่ว่าจะเป็นการอัดฉีดเงินต่างๆ เพื่อช่วยเสริมสภาพคล่อง, แก้ปัญหาหนี้ครัวเรือน และหนี้ธุรกิจ, โปรโมทภาคท่องเที่ยว, แก้ปัญหาส่งออกหดตัว, ทบทวนแนวทางการปรับค่าจ้างขั้นต่ำ 600 บาท และปริญญาตรี 25,000 บาท หากจะปรับจริงควรเป็นเดือนพฤษภาคมปีหน้า และควรทยอยปรับ โดยไม่จำเป็นต้องเฉลี่ยเท่ากัน เพื่อให้ภาคเอกชนมีเวลาปรับตัว หรือปรับให้น้อยลงให้เหมาะสมกับสภาวะเศรษฐกิจ

การกระตุ้นเศรษฐกิจกระเป๋าเงินดิจิทัล 10,000 บาท ที่ต้องชี้แจงให้ชัดเจนว่า จะหาเงินมาจากไหน เพื่อไม่ให้กระทบกับการเงินการคลัง และหนี้ของประเทศในอนาคต รวมถึงจะแจกเมื่อใด แจกอย่างไร เนื่องจากประชาชนคาดหวังว่า รัฐบาลจะแจกทุกปี ซึ่งโจทย์นี้ถือเป็นการเรียกความเชื่อมั่นให้กลับมา โดยเฉพาะการลงทุนจากต่างชาติ

นอกจากนี้ อยากให้รัฐบาลให้ความสำคัญกับแรงงาน ยกระดับทักษะแรงงาน โดยเฉพาะเจ้าของธุรกิจ แรงงานที่มีอายุ เนื่องจากปัจจุบันเทคโนโลยีทันสมัยแบบก้าวกระโดด และควรมีสวัสดิการที่สอดคล้องกับค่าครองชีพ

เกียรติอนันต์ ล้วนแก้ว

ขณะที่นายเกียรติอนันต์ กล่าวว่า รัฐบาลจะต้องแก้วิกฤตที่จะเกิดขึ้น 3 โจทย์คือ วิกฤตที่มาก่อนเวลา, วิกฤตที่ตามมาจากอดีต และวิกฤตที่รัฐบาลผิดพลาดหรือสร้างขึ้นมาเอง ซึ่งรัฐบาลต้องระวังให้ดี โดยในส่วนการศึกษาและแรงงาน เป็นเรื่องที่เชื่อมโยงกัน การศึกษาจะต้องปรับให้ตรงกับแรงงานที่ต้องการ และต้องได้รับ Upskill Reskill ให้เร็วที่สุด นโยบายการศึกษา ต้องทำเลย ทำใหญ่ ทำเพื่อให้เกิดแรงงานในไทย

ส่วนอีก 4 ปีข้างหน้า  ต้องระวังการศึกษา และความเหลื่อมล้ำที่จะเกิดขึ้นระยะยาว หากเกิดปัญหาเศรษฐกิจขึ้น ความเหลื่อมล้ำที่มีอยู่แล้วถ้าไม่ได้รับการศึกษาที่ดี ก็จะเกิดการความเหลื่อมล้ำรอบใหม่ ถ้าไม่แก้วันนี้จะเป็นปัญหาในอนาคต การแก้ในวันนี้ได้ก็จะปลดล็อกปัญหาในอดีตและวิกฤตในอนาคต ถ้าทำได้จะทำให้ภาคการบริหารรัฐบาลจะดีมาก

ทั้งนี้ ยังมีกลุ่มเปราะบางทางเศรษฐกิจ ที่ต้องการใช้รัฐสวัสดิการมาอุ้ม เพื่อที่จะพัฒนาตัวเอง ดังนั้นถ้าหากจัดสวัสดิการด้านการศึกษาดี สิ่งที่ได้จะไม่สูญเปล่า เช่น การฝึกงานแล้วมีค่าจ้าง เพื่อสร้างเม็ดเงินหมุนเวียนทางเศรษฐกิจ ดังนั้นเราต้องเริ่มต้นคำถามยากๆเกี่ยวกับการศึกษา เช่น วิชาที่สอนเหมือนกัน ทำไมทุกโรงเรียนต้องทำซ้ำ ทำเหมือนๆกัน ต้องตั้งคำถามว่า จำเป็นไหมที่ครูต้องสอนเหมือนกันทั้งหมด ถ้ามีคนสอนเก่งๆแล้วสอนในเวลาเดียวกัน เปิดทีวีอัดคลิปนำไปเปิด แล้วครูในห้องเป็นครูที่จะสรุปบทเรียนแล้วสอนต่อ แบบนี้คุณภาพของกระบวนการจัดการเรียนรู้ จะใกล้เคียงกัน ดีกว่าปล่อยให้ครูต่างคนต่างสอน อีกทั้งวิธีการออกข้อสอบ ต้องออกแบบให้เหมาะกับเด็กแต่ละคน แต่อยู่ในเนื้อหาเรื่องเดียวกัน เป็นต้น

กระทรวงการศึกษาและกระทรวงอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์วิจัยและนวัตกรรม จะต้องเป็นกระทรวงต้นๆที่หลุดออกจากกรอบก่อน แม้จะมีคนตั้งความหวังกับกระทรวงเหล่านี้น้อย แต่ถ้าทำสำเร็จจะดีที่สุด ที่สำคัญคือ ต้องเปลี่ยนโครงสร้างทางการศึกษา และรัฐมนตรีที่เข้ามาต้องทุบกำแพง เพื่อพัฒนาการศึกษาให้ได้ เพราะไม่เช่นนั้นจะได้แค่เสียงปรบมือ แต่จะไม่ได้คะแนนในการเลือกตั้งครั้งถัดไป

ด้านนายนิติรัตน์ กล่าวว่า จากการรับฟังข้อเสนอจาก 14 พรรคการเมือง เห็นว่า รัฐบาลใหม่ควรส่งเสริมรัฐสวัสดิการถ้วนหน้า โดยอาจจะนำเงิน 5 แสนกว่าล้าน ที่จะใช้กับนโยบายกระเป๋าเงินดิจิทัล 10,000 บาท ไปใช้กับนโยบายรัฐสวัสดิการอื่น เพื่อลดความเหลื่อมล้ำ เนื่องจากประเทศไทยยังมีผู้มีรายได้น้อยอยู่จำนวนมาก ตกอยู่ในสถานการณ์ส่งต่อความจน รวมถึงสังคมยังมีความเหลื่อมล้ำ สถานการณ์เปราะบาง ผู้สูงอายุเข้าไม่ถึงรัฐสวัสดิการ คนตกงาน เด็กหลุดจากระบบการศึกษา

และเมื่อเปรียบเทียบชุดข้อเสนอของพรรคการเมืองที่เป็นรัฐมนตรี พบว่า แต่ละพรรคการเมือง มีนโยบายไม่ตรงกับกระทรวงที่ดูแล ดังนั้น ต้องมองไปข้างหน้า จัดลำดับความสำคัญนโยบายเร่งด่วน และปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมกับสถานการณ์ และไม่ควรลดสวัสดิการที่ให้ประชาชน แต่ควรปรับให้เพิ่มขึ้นมากกว่า และให้เน้นเรื่องปฏิรูปภาษี ปฏิรูปกองทัพ เพื่อให้มีเงินเพิ่มไปเติมงบสวัสดิการ เพื่อให้กำแพงของคนรวยที่สร้างขึ้นมีความสมดุลกับผู้มีรายได้น้อย เชื่อว่าจะทำให้เกิดความเท่าเทียม ยกระดับคุณภาพชีวิตของคนในสังคมให้ดีขึ้นได้ และควรเก็บภาษีเจ้าสัวมากกว่าเพิ่ม VAT จากประชาชน

logoline