โผครม.“เศรษฐา 1” ดูเหมือนคลื่นใต้น้ำยังไม่นิ่ง จู่ ๆ ชื่อของ “พิชิต ชื่นบาน” ก็โผล่มาเป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี คนล่าสุด เบียด “ชูศักดิ์ ศิรินิล” จนหลุดเก้าอี้รองนายกฯ ฝ่ายกฎหมาย หากดูคุณสมบัติของ “พิชิต” ไม่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ หลังเคยโดนคำสั่งศาลให้จำคุก 6 เดือน แต่ไม่ใช่คำพิพากษา
แม้สุดท้ายอัยการจะสั่งไม่ฟ้อง โดยอ้างว่าองค์ประกอบความผิดไม่ครบตามกฎหมาย แต่ “พิชิต” ทนายความที่กระทำการ โดนศาลสั่งจำคุก 6 เดือน ฐานละเมิดอำนาจศาล และถูกสภาทนายความลบชื่อจากทะเบียน งดว่าความ 5 ปี ทั้งตัวทนาย และผู้ประสานงานคดีรวม 3 คน “พิชิต” คือบุคคลได้รับความไว้วางใจจากตระกูล “ชินวัตร” ผ่านการว่าความมาอย่างมากมาย
ย้อนกลับไปเรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 2551 ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ทีมทนายความ “พิชิต” ได้นำซองสีน้ำตาล บรรจุเงิน 2 ล้าน แต่พรางตาใส่ในถุงขนม นำไปมอบให้เจ้าหน้าที่ศาล ระหว่างการพิจารณาสำนวนคดีทุจริตจัดซื้อที่ดินริมถนนรัชดาภิเษก ซึ่งมีอดีตนายกฯทักษิณ ตกเป็นจำเลย
เรื่องนี้ถูกเปิดโปงเป็นครั้งแรกในหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ หน้าการเมือง ซึ่งเป็นสื่อในเครือเนชั่น ฉบับวันที่ 11 มิถุนายน 2551 จนเป็นข่าวดังไปทั่วประเทศ และมีการตรวจสอบกันอย่างจริงจัง เพราะกระทบต่อกระบวนการยุติธรรมทั้งระบบอย่างรุนแรง
กลุ่มทนาย “พิชิต” ที่นำซองเงินไปมอบให้เจ้าหน้าที่ศาล อ้างว่าต้องการนำขนมไปให้ แต่หยิบถุงผิด กลายเป็นหยิบถุงใส่ซองเงินไปแทน แต่ศาลมองว่าฟังไม่ขึ้น จึงสั่งลงโทษจำคุก
ส่วนคดีหลัก จ่ายสินบนให้เจ้าหน้าที่ศาล ปรากฏว่าอัยการสั่งไม่ฟ้อง อ้างว่าองค์ประกอบความผิดไม่ครบ เช่น ไม่ชัดว่านำไปมอบให้ใคร ไม่มีหลักฐานว่านำไปมอบให้ผู้พิพากษาหรือไม่ แสดงเจตนาว่ามอบหรือยัง ฯลฯ
แต่ในความเป็นจริง เป็นที่ทราบกันดีในแวดวงกระบวนการยุติธรรมว่า การจ่ายสินบนให้ศาล หรือตุลาการ ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะผู้พิพากษามีจรรยาบรรณ และมีระบบตรวจสอบภายในเข้มข้น
แต่ “ทนายสายมืด” ก็จะใช้วิธีนำผลประโยชน์ไปมอบให้ “ทีมนิติกร” ของผู้พิพากษาที่เป็นองค์คณะพิจารณาในคดีสำคัญ ๆ เพื่อล้วงข้อมูลว่า ประเด็นไหนในสำนวนที่ผู้พิพากษาเรียกดูบ่อย ๆ สั่งให้ตรวจสอบข้อกฎหมายเพิ่มเติมหลาย ๆ ครั้ง หรือให้หาข้อมูลเพิ่มอย่างผิดสังเกต แล้วนำมาส่งข่าวบอก “ทนายสายมืด” เพื่อตัวเองจะได้วางแผน เตรียมหลักฐานต่อสู้ เพราะรู้ข้อสอบล่วงหน้าว่าผู้พิพากษา หรือ องค์คณะ สนใจหลักฐานชิ้นใดเป็นพิเศษ
การพยายามติดสินบนในคดีที่เกี่ยวกับเครือข่ายอดีตนายกฯ มีการดำเนินคดีจริง ๆ และติดคุกจริง กรณีอดีตผู้กำกับ สภ.โพธิ์แก้ว จังหวัดนครปฐม พ.ต.อ.ชาญชัย เนติรัฐการ ศิษย์เก่า นิติฯ ธรรมศาสตร์ รุ่น 9 ไปเสนอสินบน 30 ล้านบาท ให้กับ หม่อมหลวงไกรฤกษ์ เกษมสันต์ ตุลาการรัฐธรรมนูญ ที่เป็นองค์คณะคดียุบพรรคไทยรักไทย เมื่อปี 2549 โดยพยายามเข้าพบที่ห้องทำงาน และที่บ้าน โดยอ้างความเป็นเพื่อนร่วมรุ่นนักเรียนกฎหมายด้วยกัน
แต่ “หม่อมหลวงไกรฤกษ์” ไม่ยอมเจรจาด้วย และทำบันทึกถึงประธานศาลฎีกา ต่อมามีการดำเนินคดี จนกลายเป็นคดีเสนอสินบนที่เกรียวกราวไปทั่วประเทศ โดย พ.ต.อ.ชาญชัย อ้างว่าพูดเล่น หยอกล้อกันในหมู่เพื่อน แต่ศาลไม่เชื่อ และสุดท้ายศาลฎีกาพิพากษาจำคุก 3 ปี โดยไม่รอลงอาญา
โดยในการเสนอสินบน พ.ต.อ.ชาญชัย มีการกล่าวอ้างถึงบุคคลที่เหนือกว่าตน โดยเฉพาะ “คุณหญิง” คนหนึ่ง แต่สุดท้ายไม่สามารถสาวไปถึงเพื่อเอาผิดได้