
ก็คือ "ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ" กับการประกาศยุติบทบาทผู้อำนวยการครอบครัวเพื่อไทย เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา
โดย "ณัฐวุฒิ" หรือที่รู้จักกัน "เสี่ยเต้น" ถือเป็นอีกหนึ่งขุนพลคนเสื้อแดง ที่ยังหลงเหลืออยู่กับพรรคเพื่อไทย หลังบรรดาอดีตแกนนำคนอื่นๆ ต่างแตกกระสานซ่านเซ็นไปตามจุดยืนทางการเมืองของตัวเอง โดยเฉพาะที่เห็นเด่นชัด คือ "จตุพร พรหมพันธุ์" ซึ่งก้าวออกจากความเป็น นปช. และมาอยู่ตรงข้ามนายเก่า "ทักษิณ ชินวัตร" และเพื่อไทย
การประกาศยุติบทบาทของ "เต้น ณัฐวุฒิ" มีการวิเคราะห์สาเหตุอันเนื่องมาจากพรรคเพื่อไทย ได้ประกาศจับมือตั้งรัฐบาลกับพรรค 2 ลุง คือ "พลังประชารัฐ" กับ "รวมไทยสร้างชาติ" ซึ่งมีบุคคลเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์สำคัญในประวัติศาสตร์การเมืองไทย คือ การสลายกลุ่มคนเสื้อแดง เมื่อปี 2553
การปรากฎเป็นข่าวลาออก มีการจับตาไปยังเฟซบุ๊กส่วนตัว "ณัฐวุฒิ" ที่ได้โพสต์ข้อความพร้อมบทเพลง "ขุนเขายะเยือก" ของมาลีฮวนน่า วานนี้ โดยเฉพาะท่อนประโยคทิ้งท้าย คือ "ข้าพเจ้าเพียงรอเวลา และเวลาของข้าพเจ้า มาถึงแล้ว"
ซึ่งโพสต์นี้เกิดขึ้นภายหลัง "อุ๊งอิ๊งค์ แพทองธาร ชินวัตร" ออกมาขอโทษประชาชนที่ทำให้รู้สึกผิดหวัง เกี่ยวกับเรื่องการจัดตั้งรัฐบาลที่ต้องมีพรรค 2 ลุงเข้าร่วม กับต้นทุนที่ต้องจ่ายสูง
ย้อนกลับไปบนเส้นทางของ "ณัฐวุฒิ" ก่อนจะเข้าสู่ถนนการเมือง เริ่มจากเข้าประกวดแข่งขันรายการโต้วาที จนเป็นที่รู้จัก กระทั่งได้รับโอกาสฝากฝีมือผ่านหน้าจอทีวี ด้วยการรับบทเป็นนักแสดงเลียนแบบ "ดร.ไตรรงค์ สุวรรณคีรี" ให้กับรายการ "สภาโจ๊ก"
ต่อมาภายหลังรัฐประหารปี 2549 "เต้น ณัฐวุฒิ" ได้ก่อตั้ง บริษัท เพื่อนพ้องน้องพี่ จำกัด ร่วมกับ วีระ (วีระกานต์) มุสิกพงศ์ , จตุพร พรหมพันธุ์ , จักรภพ เพ็ญแข , ก่อแก้ว พิกุลทอง และ อุสมาน ลูกหยี โดย "ณัฐวุฒิ" มีตำแหน่งเป็นผู้อำนวยการสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม "พีทีวี" อีกทั้ง ยังเป็นหนึ่งในผู้ดำเนินรายการ "ความจริงวันนี้" กับ "วีระ และ จตุพร"
ก่อนต่อมาทั้งหมดจะผันตัวสู่การเมืองภาคประชาชน ด้วยการเป็นแกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการ (นปก.) ก่อนเปลี่ยนชื่อเป็น แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ หรือ นปช. ภายหลัง ระหว่างนั้นเอง "ณัฐวุฒิ" ยังถูกแต่งตั้งให้เป็นโฆษกประจำสำนักนายกฯในรัฐบาล "สมชาย วงศ์สวัสดิ์" เมื่อช่วงปี 2551 เพียง 56 วัน
จากนั้น "ณัฐวุฒิ" มารับหน้าที่เป็นเลขาธิการ นปช. ช่วงปี 2553 ซึ่งถือเป็นการชุมนุมครั้งรุนแรงที่สุดบนหน้าประวัติศาสตร์การเมืองไทย กระทั่งการเลือกตั้งปี 2554 ได้ลงสมัคร สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ต่อมาได้รับแต่งตั้งเป็น รมช.เกษตรและสหกรณ์ และรมช.พาณิชย์ ในรัฐบาล "ยิ่งลักษณ์ ชิวัตร"
เมื่อพ้นจากตำแหน่งต่างๆ ในการเลือกตั้ง 2562 "ณัฐวุฒิ" กลับมาลงสนามเลือกตั้งอีกครั้ง ในนามผู้สมัคร สส.ปาร์ตี้ลิสต์ อันดับ 7 พรรคไทยรักษาชาติ ทว่า ต่อมาศาลรัฐธรรมนูญ มีมติเอกฉันท์ เมื่อวันที่ 19 มี.ค. 2562 ให้ยุบไทยรักษาชาติ พร้อมทั้งตัดสิทธิ์กรรมการบริหารพรรค เป็นเวลา 10 ปี จากกรณีการเสนอชื่อแคนดิเดตนายกฯ
แต่ระหว่างเส้นทางการเมืองบนท้องถนน ในช่วงปี 2550 "ณัฐวุฒิ" คือหนึ่งในแกนนำ นปช. ที่ได้พามวลชนจากท้องสนามหลวง บุกบ้านสี่เสาเทเวศร์ เพื่อกดดันให้ "พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์" ลาออกจากตำแหน่งในขณะนั้น คือ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ โดยเหตุเกิดเมื่อวันที่ 22 ก.ค.
จนวันที่ 26 มิ.ย. 2563 ศาลฎีกา มีคำพิพากษาจำคุกเป็นเวลา 2 ปี 8 เดือน และถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองเป็นเวลา 10 ปี พร้อมกับแกนนำรายอื่นๆ แต่ต่อมา "ณัฐวุฒิ" ได้รับการลดโทษตามพระราชกฤษฎีกาพระราชทานอภัยโทษ 2563 ที่ผ่านมา จนกระทั่งเข้าสู่หลักเกณฑ์การพักโทษ และออกมาติดกำไลอีเอ็ม โดยอยู่ในความควบคุมของกรมคุมประพฤติ กระทรวงยุติธรรม ตั้งแต่วันที่ 18 ธ.ค. 63 จนถึงวันที่ 29 มี.ค. 64 ซึ่งเป็นวันสุดท้าย
โดยระหว่างก่อนที่ศาลจะมีคำพิพากษา และภายหลังพรรคไทยรักษาชาติถูกยุบ อีกทั้ง ประจวบเหมาะกับแกนนำเสื้อแดงแยกทาง "เต้น ณัฐวุฒิ" ได้ริเริ่มเตรียมก่อตั้ง "พรรคเส้นทางใหม่" กับ "จาตุรนต์ ฉายแสง" หลังจากที่ ทษช. ต้องปิดกิจการ แต่จนแล้วจนรอด ทั้งคู่ ก็หวนกลับเข้าสู่พรรคเพื่อไทยอีกครั้ง โดย “ณัฐวุฒิ” รับหน้าที่ ผอ.ครอบครัวเพื่อไทย เพื่อช่วยหาเสียงให้กับพรรคเพื่อไทย
ขณะเดียวกัน การให้สัมภาษณ์ของ "ณัฐวุฒิ" ผ่านรายการ "กรรมกรข่าวคุยนอกจอ" โดยยอมรับว่าเข้าใจที่พรรคเพื่อไทยจำเป็นต้องจับมือพรรคกับ 2 ลุง ในการจัดตั้งรัฐบาล เนื่องจากรัฐธรรมนูญกำหนดกติกาเอาไว้ รวมทั้ง ต่อไปอาจเลิกเล่นการเมือง เพราะด้วยตอนนี้ถูกตัดสิทธิทางการเมือง โดยเหลือเวลาอีก 7 ปี ทำให้ไม่สามารถทำอะไรในการเมืองได้
ทั้งหมด จึงอาจเป็นที่มาของเหตุผลและคำตอบ ถึงการลาออกจากพรรคเพื่อไทย