4 สิงหาคม 2566 2566 นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน เฟซบุ๊กไลฟ์รายการประเทศไทยต้องมาก่อน ตอน "ทำไปได้" โดยเชื่อว่า การตัดสินผิดพลาด มุ่งหวังเป็นรัฐบาลข้ามขั้วหาประโยชน์ทางการเมือง จึงแลกมาด้วยความเสื่อมครั้งใหญ่ โดยประชาชนสูญสิ้นศรัทธา หมดความน่าเชื่อถือ ตั้งแต่ฉีก MOU แยกทางพรรคก้าวไกล ดังนั้น สิ่งที่เหลืออยู่ของเพื่อไทยคือ คำด่าและเสียงสาปแช่งเต็มบ้านเต็มเมือง ซึ่งเป็นเวรกรมตามมาทันอย่างรวดเร็ว
นายจตุพร กล่าวถึงนายภูมิธรรม เวชยชัย รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทยว่า เป็นคนพูดไม่น่าเชื่อถือ เมื่อยืนยันนายทักษิณ ชินวัตร กลับไทยตามเดิม ถ้า 10 ส.ค.นี้ ไม่เห็นตัวที่สนามบินดอนเมือง จะลาออกทุกตำแหน่งหรือไม่ เพราะหลายเรื่องตั้งแต่แถลงตั้งรัฐบาล แย่งชิงตำแหน่งประธานสภาจากพรรคก้าวไกล ล้วนพูดเอาดี เอาแต่ได้ฝ่ายเดียว ขาดความจริงใจ พร้อมถามย้ำอีกครั้งว่า จะกลับหรือไม่ในวันที่ 10 ส.ค. นี้
อีกทั้ง กล่าวว่า ข้อเท็จจริงทางการเมืองขณะนี้ ทำให้นายทักษิณกลับมาไม่ได้อยู่แล้ว เพราะการกลับไทยอย่างเท่ๆ ไม่มีอยู่จริง ยกเว้นตัดสินใจอย่างดุษฎีเพื่อกลับมาเข้าคุก ซึ่งมันไม่เคยมี และถ้ามีคงไม่ต้องรอถึงวันนี้ ดังนั้นครั้งนี้เมื่อผ่าน 4 ส.ค.ไม่มีโหวตนายกฯ แล้ว 10 ส.ค.โอกาสนายทักษิณคงไม่กลับมา ค่อนข้างชัดเจน
นายจตุพร กล่าวว่า ศาล รธน.เลื่อนพิจารณารับคำร้องโหวตซ้ำสองนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล เป็นนายกฯ นั้น คงสะท้อนถึงการตั้งรัฐบาลได้ส่วนหนึ่งว่า ยังตกลงกันไม่ได้ และพรรคเพื่อไทยแยกตัวจากพรรคก้าวไกลไปตั้งรัฐบาลใหม่ ยังเป็นสิ่งที่ยากลำบาก โดยไม่ง่ายอย่างนึกหวังเอาไว้
อีกทั้งกล่าวว่า สูตรการเมืองการตั้งรัฐบาลของเพื่อไทย มีการประกาศอยู่สองเรื่องสำคัญ คือ ไม่จับมือพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) และ พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) กับ "ยุทธการไล่หนูตีงูเห่า" แล้วยังรบกับประชาธิปัตย์มายาวนาน
"13 วันที่ถูกเลื่อนไปนั้น คงเป็นเวลาเพื่อไทยจะถูกสาปแช่ง และเชื่อว่าไม่อยู่ในสภาพต้องรับมือกับสถานการณ์ใดได้เลย เพราะเพื่อไทยได้ขยี้หัวใจประชาชนไปแล้ว จนทำให้ความรักกลายเป็นอารมณ์ชิงชังเกิดระบาดอย่างเร็วมาก ดังนั้น ขณะนี้เพื่อไทยพูดอะไรคนจะไม่ฟัง ไม่เชื่อ และมีเสียงเสียดสีเป็นคำโกหกแบบพูดอย่างเพื่อไทยการละคร สิ่งนี้จึงเป็นอารมณ์ที่น่ากลัวที่สุด"
นายจตุพร ยังกังขาว่าเมื่อเพื่อไทยไม่มีหัวใจแล้วจะอยู่ได้อย่างไร เพราะหัวใจที่ต้องการดึงความสุขของ 9 ปีที่เสียไปได้กลับมา ประชาชนทุ่มเทเลือกตั้ง สนับสนุนเพื่อไทย ด้วยหวังว่า จะนำพาความสุขและสิ่งที่ได้ประกาศไว้ให้เกิดเป็นจริง แต่กลับมาขยี้ความหวังประชาชนทิ้ง อารมณ์ชิงชังจึงก่อตัว แล้วแพร่สะพัดได้รวดเร็วขึ้น
"สิ่งสำคัญ การตั้งรัฐบาลของเพื่อไทยนั้น ประชาชนรับรู้ได้ถึงเสียงที่จะมาร่วมต้องมากจากพรรคข้ามขั้ว แม้ไม่ประกาศจะจับมือกับพรรคใดบ้าง แต่ถ้าไม่จับมือกับ พปชร.และ รทสช.ก็ไปไม่ได้อยู่แล้ว และสุดท้ายถ้าต้องการเป็นรัฐบาลก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ แล้ววันนั้นก็เป็นวันจบสิ้นอย่างสมบูรณ์”
นอกจากนี้ เชื่อว่า อารมณ์ชิงชังของประชาชน จะลุกลามการสำแดงออกมากขึ้น อาจสะท้อนด้วยการลาออกจากสมาชิกพรรคเพื่อไทย ดังนั้นในเวลาถูกเลื่อน 13 วันนี้ คงทำให้จิตใจตั้งรัฐบาลของเพื่อไทยฝ่อลงก็ได้ หากไม่เชื่อ นักการเมืองเพื่อไทยควรไปเดินห้างสรรพสินค้า หรือตลาดเพื่อตรวจสอบความนิยม จะได้พบความจริงว่า คนไม่เหมือนเดิมกับเพื่อไทยแล้ว
"เมื่อดีลตั้งรัฐบาลข้ามขั้วยังไม่จบ จึงไม่มีอะไรมาแถลงได้ แต่สภาเลื่อนโหวตนายกฯ ออกไปอีก 13 วัน ย่อมเปิดโอกาสให้เพื่อไทยหายใจคลายความอึดอัดออกมาได้ แต่ยังต้องผจญเสียงด่าสาปแช่งที่มีอยู่ทั่วสื่อโชเชียล และปรากฎขึ้นจริงต่อหน้าเมื่อคนบุกมาถึงพรรคด้วย"
นายจตุพร กล่าวว่า อาการหนักทางการเมืองและเสื่อมทรุดของเพื่อไทยแสดงผ่านในหลายเรื่องที่สลัดไม่ออก ทั้งนายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ แถลงโจมตีการเลี่ยงภาษีซื้อ-ขายที่ดิน เรื่องการแก้ ม.112 ที่คนสำคัญของพรรคประกาศช่วงหาเสียงยากจะดิ้นหลุดได้ง่ายๆ แล้วยังใช้วิธีการกล่าวอ้างมาผลักใสพรรคก้าวไกลไปเป็นฝ่ายค้าน ซึ่งไม่ควรนำมาใช้และนักการเมืองคุณภาพไม่พึ่งกระทำ
"หากเพื่อไทยมุ่งมั่นเป็นรัฐบาลเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ก็จะคิดผิด และเป็นรัฐบาลที่ไม่มีความสุขที่สุด นอนไม่หลับ และมีชีวิตอยู่ท่ามกลางเสียงสาปแช่งของประชาชน และไปที่ไหนจะลำบากยิ่งกว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้รับจากประชาชนเสียอีก"
รวมทั้ง กล่าวว่า เมื่อเพื่อไทยเป็นเช่นนี้ ก็อย่าหวังคิดไปถึงการเลือกตั้งหนหน้ามาชุปฟื้นชีวิตให้กลับคืน เพราะไม่อาจดึงผลงานจากหุบเหวขึ้นมาประกาศศักดาได้อีกแล้ว ไม่ว่านโยบายการแจกเงินดิจิทัลจะถูกตีตก การแก้ รธน.จะไม่มีจริง และการเลี่ยงภาษีกว่า 500 ล้านบาท ย่อมถูกขยายผลซัดกระหน่ำซ้ำ ล้วนเป็นเวรกรรมที่ตามมาทันเร็วขึ้นกับการตัดสินใจผิด คิดแยกทางกับพรรคก้าวไกล
ดังนั้น ทุกอย่างที่คิดหวังมีแต่ความยากลำบากยิ่งขึ้น การข้ามขั้วเพื่อแก้ปัญหาเศรษฐกิจปากท้องให้ดูดี จึงเป็นไปไม่ได้อีก แต่กลับต้องแลกด้วยความหายนะและทางเลือกให้เดินแทบมีน้อยตามลำดับ สิ่งสำคัญ 141 เสียงจะไปกดดันพรรคฝ่าย 188 เสียงไม่ได้ด้วยซ้ำ ตรงกันข้ามยิ่งถูกกดให้เป็นลูกมือทำตามพรรคอื่นเสียมากกว่า
นายจตุพร เชื่อว่า การเจรจาตั้งรัฐบาลข้ามขั้วถัดจากนี้ไป เพื่อไทยจะสูญสิ้นทุกอย่าง อีกอย่างจะถูกผู้คนประนามหยามเหยียด ยิ่งช่วงเวลาอีก 13 วันจากนี้อารมณ์ประชาชนจะปะทุถาโถมเข้าใส่ ซึ่งไม่ใช่อารมณ์ที่เป็นบวกหรือเข้าข้างเพื่อไทยเลย ยกเว้นแต่พวกนายแบก นางแบกเท่านั้นยังอาจภักดีอยู่ แต่นั่นยิ่งซ้ำเติมให้เสื่อมทรุดหนักขึ้นไปอีก
"อารมณ์ประชาชนขณะนี้ เคยถูกเพื่อไทยปลุกปั่นทั้งการชิงชัง การทำให้เชื่อถือ เมื่อไม่เป็นจริงสักข้อแล้ว อารมณ์นี้ย่อมสวิงตีกลับอย่างรวดเร็ว แล้วเพื่อไทยจะไม่มีที่ยืนในพื้นที่ศรัทธาทางการเมืองเลย"
อีกทั้ง กล่าวว่า ความหวังให้ สว.โหวตนายกฯ ให้เพื่อไทยในระดับเป็นร้อยเสียงขึ้นไปนั้น ในความจริงจึงหวังและเชื่อไม่ได้ เพราะการโหวตให้นายเศรษฐา แต่กลับเห็นทักษิณ ลอยเสนอหน้ามาเด่นชัด ซึ่งเป็นหน้าของระบอบทักษิณที่อยู่ตรงข้ามกับ สว.แต่งตั้ง ย่อมทำให้ลำบากใจ และผ่าน 376 เสียงได้ยาก พร้อมฉุดลากภาพลักษณ์นายเศรษฐา นักธุรกิจผู้ประสบความสำเร็จจะตกต่ำตามไปด้วย
ส่วนเพื่อไทยไม่ดึงพรรค พปชร.กับ รทสช.เข้าร่วมรัฐบาลนั้น นายจตุพร กล่าวว่า โอกาสนายเศรษฐาเป็นนายกฯ จึงเป็นไปได้ยาก อีกทั้งยังจะนำสู่เป้าหมายที่ต้องการของฝ่ายอำนาจเก่าที่หวังดึงให้ถึงคิวอุ๊งอิ๊ง-แพทองธาร ชินวัตร เข้าสู่กระบวนการโหวตนายกฯ เพื่อเปิดทางการปิดฉากเพื่อไทยและการเมืองแบบตระกูลชินวัตรได้อย่างง่ายดายและจบบริบูรณ์
"การจัดการของเพื่อไทยที่ต้องการข้ามขั้วแล้วยังต้องการภาพดีด้วยจึงยากที่สุด การตระบัดสัตย์เพื่อให้เกิดภาพสวยงามไม่ง่ายเลย ดังนั้นจึงได้อย่างเสียอย่าง เมื่อต้องการอย่างนี้ต้องแลกกับความเสื่อม และความเสื่อมจะต่อรองอะไรไม่ได้ในวันที่คุณ (ตระกูลชินวัตร) ไม่มีประชาชนอยู่ในมือเลย เมื่อตัดสินใจแบบนี้ประชาชนที่ไหนจะมาตายให้คุณอีก ต่อให้ระดมมือปราศรัย หรือมือนักจัดการ แต่จะไม่มีคนมาเพราะคนจะหมดใจ"
นายจตุพร ย้ำว่า เมื่ออารมณ์ผิดหวังถาโถมใส่เพื่อไทย จึงเป็นสถานการณ์ยากมากกับการตั้งรัฐบาลข้ามขั้วที่เป็นลาภไม่ควรได้จากการแลกด้วยความไว้เนื้อเชื่อใจของประชาชน ยิ่งการร่วมรัฐบาลโดยมี พปชร.กับ รทสช.ด้วย ย่อมเป็นการตัดสินใจที่ไม่มีอะไรจะสูญเสียอีกเพราะเมื่อขาดพรรคก้าวไกล ทุกสิ่งอย่างได้เสียไปหมดสิ้นแล้ว เวรกรรมจึงตามมาทันได้เร็วขึ้น
ดังนั้น สิ่งที่ต้องทำคือ รีบคืนอำนาจกลับสู่ประชาชน เพื่อลดหนทางเผชิญหน้ากับวิกฤต เพราะเส้นทางตั้งรัฐบาลข้ามขั้วไปกันไม่ได้อย่างแน่แท้ และมาถึงทางต้นแล้ว