25 มิถุนายน 2566 ยังคงต้องติดตามต่อประเด็นการเปิดตัว"ขบวนการนักศึกษาแห่งชาติ" ที่มอ.ปัตตานี ซึ่งในงานดังกล่าว มีนักวิชาการและตัวแทนพรรคการเมืองเข้าร่วมงาน พร้อมกับมีกิจกรรม รณรงค์"ประชามติแยกดินแดน" ซึ่งต่อมา ฝ่ายความมั่นคงได้รวบรวบพยานหลักฐานเพื่อดำเนินคดี
โดยเมื่อวันที่ 24 มิถุนายนที่ผ่านมา "พล.ท.ศานติ ศกุนตนาค"แม่ทัพภาค 4 ในฐานะผอ.รมน.ภาค 4 มอบให้ พ.อ.เฉลิมชัย สุทธินวล ผอ.สกส. กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า และ พ.ต.อ.จารุวิทย์ วงศ์ชัยกิตติพร รองผอ.สกส.กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า และ ร.อ.พนมกรณ์ พันพรมมา ประจำ กองคดี สกส.กอ. รมน. ภาค 4 ส่วนหน้า เข้าพบพนักงานสอบสวน สภ.เมืองปัตตานี เพื่อยื่นหนังสือกล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวน เพื่อให้พนักงานสอบสวนทำการสืบสวนสอบสวนดำเนินการตามกฎหมาย กับบุคคลและคณะบุคคล ทั้งกลุ่มนักศึกษา พรรคการเมือง นักการเมืองภาคประชาสังคม
ขณะที่"นายศรีสุวรรณ จรรยา" ในฐานะประชาชนผู้รักชาติรักแผ่นดิน เปิดเผยว่า วันจันทร์ที่ 26 มิ.ย. นี้ หรือภายในสัปดาห์หน้าจะเดินทางไปที่กกต.เพื่อยื่นหลักฐานเพิ่มเติม เอาผิดพรรคการเมือง ร่วมกิจกรรมประชามติแบ่งแยกดินแดน ซึ่งก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 16 มิถุนายน ที่ผ่านมา นายศรีสุวรรณได้ไปยื่นร้อง ให้กกต.ตรวจสอบเรื่องดังกล่าวแล้ว
ผู้สื่อข่าวรายงานสถานการณ์ล่าสุด จากวิทยุข่าวในราชการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้ปรากฎเนื้อหารายงานอย่างน่าสนใจ ระบุว่า ตามที่ พ.ต.อ.เจฟฟรีย์ ไศลมานกุล ผู้กำกับการ สภ.เมืองปัตตานี รายงานถึงผู้บังคับบัญชาระดับสูงของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ระบุว่า เมื่อวันที่ 23 มิ.ย.66 ร.อ.พนมกรณ์ พันพรมมา ตำแหน่งประจำกองคดีสำนักกฎหมายและสิทธิมนุษยชน กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า ค่ายสิรินธร ได้รับมอบอำนาจจาก พล.ท.ศานติ ศกุนตนาค แม่ทัพภาค 4 / ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ให้มาพบพนักงานสอบสวน เพื่อแจ้งความร้องทุกข์
พฤติกรรมเมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม 2566 เพจเฟซบุ๊ก Patanian Student Movement - Pelajar Bangsa เผยแพร่ประชาสัมพันธ์กำหนดจัดเสวนาในหัวข้อ "สิทธิในการกำหนดอนาคตตนเอง (Self Determination) กับสันติภาพปาตานี" ณ ห้องประชุมศรีวังสา คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี ในวันที่ 7 มิถุนายน 2566 เวลา 10.00 – 16.00 น. โดยมีรายชื่อผู้ที่จะเข้าร่วมเสวนาตามภาพที่ปรากฏ ทราบชื่อ จำนวน 5 คน เป็นนักวิชาการ ตัวแทนพรรคการเมือง และภาคประชาสังคม
ต่อมาในวันที่ 7 มิถุนายน 2566 เวลา 10.00 – 16.00 ซึ่งเป็นวันจัดกิจกรรมตามที่ได้ประชาสัมพันธ์ พบว่ามีกลุ่ม PELAJARBANGSA (ขบวนนักศึกษาแห่งชาติ) ได้ร่วมกันจัดกิจกรรมเปิดตัวขบวนนักศึกษาแห่งชาติ (PelajarBangsa) และจัดเสวนาในหัวข้อ "สิทธิในการกำหนดอนาคตตนเอง (Self- Determination) กับสันติภาพปาตานี" ที่ห้องประชุมศรีวังสา คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี ต.รูสะมิแล อ.เมือง จ.ปัตตานี มีผู้เข้าร่วมกิจกรรม ประมาณ 60 คน
ภายในงานมีการลงทะเบียน และกำหนดให้ผู้เข้าร่วมเข้าคูหาลงแสดงความคิดเห็นว่า เห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับสิทธิในการกำหนดชะตากรรมตนเองของชาวปาตานี และการออกเสียงทำประชามติแยกตัวเป็นเอกราชอย่างถูกกฎหมาย มีข้อความว่า "คุณเห็นด้วยกับสิทธิในการกำหนดชะตากรรมตนเองหรือไม่ ที่จะให้ประชาชนปาตานีสามารถออกเสียงประชามติแยกตัวเป็นเอกราชได้อย่างถูกกฎหมาย" และมีการแจกแผ่นพับเอกสารแนะนำตัวองค์กร พร้อมประชาสัมพันธ์ข้อมูลเกี่ยวกับสิทธิในการกำหนดชะตากรรมตนเอง และมีการเปิดงานมีการอ่านบทกวี
สรุปสาระเนื้อหาที่สำคัญ มีใจความพยายามในการปลุกระดมให้ประชาชนชาวมลายูปาตานีอย่าลืมรากเหง้าความเป็นมาและการถูกกดขี่จากอาณาจักรสยาม และพยายามรวมตัวกันมีความเป็นปึกแผ่นสามัคคี เพื่อปกครองตนเอง
เปิด 5 ชื่อผู้ต้องหาชุดแรก "ประชามติแยกใต้"
ผู้แจ้งจึงได้มาร้องทุกข์กล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรเมืองปัตตานี เพื่อให้ดำเนินคดีกับผู้ต้องหาทั้ง 5 ราย ประกอบด้วย
1.นายอิรฟาน (สงวนนามสกุล) ภูมิลำเนา อ.เมืองนราธิวาส
2.นายสารีฟ (สงวนนามสกุล) ภูมิลำเนา อ.เมืองนราธิวาส
3.นายฮุซเซ็น (สงวนนามสกุล) ภูมิลำเนา อ.ยะรัง จ.ปัตตานี
4.นายอาเต็ฟ โซ๊ะโก ภูมิลำเนาอยู่ที่ อ.สุไหงปาดี จ.นราธิวาส
5.นายฮากิม พงตีกอ ภูมิลำเนา อ.สะบ้าย้อย จ.สงขลา
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า รายชื่อผู้ที่ถูกแจ้งความดำเนินคดี ยังมีบุคคลอื่นที่เกี่ยวข้องนอกจาก 5 คนนี้ แต่ยังไม่ได้ระบุชื่ออีกจำนวนหนึ่ง ซึ่งมีข่าวจาก กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้าว่า มีจำนวนมากกว่า 10 ราย รวมถึงพรรคการเมืองด้วย
สำหรับ "นายอาเต็ฟ" เป็นแกนนำกลุ่ม The PATANI องค์กรภาคประชาสังคมที่ขับเคลื่อนประเด็นลักษณะนี้อยู่แล้ว ส่วน นายฮากิม เป็นอดีตรองเลขาธิการพรรคเป็นธรรม เพิ่งถูกมติพรรคสั่งให้พ้นจากตำแหน่งหลังไปร่วมกิจกรรมสัมนาเอกราชปาตานีที่มีการแจ้งความดำเนินคดีกันในครั้งนี้
เปิด 4 ข้อหา "ก๊วนประชามติเอกราช"
ข้อหาที่ผู้แทน กอ.รมน. ภาค 4 ส่วนหน้า แจ้งความร้องทุกข์ให้พนักงานสอบสวน สภ.เมืองปัตตานี ดำเนินคดี มี 4 ข้อหา ประกอบด้วย
1.ร่วมสะสมกำลังพลหรืออาวุธ ตระเตรียมการอื่นใด หรือสมคบกันเพื่อเป็นกบฏ หรือกระทำความผิดใดอันเป็นส่วนของแผนกำรเพื่อเป็นกบฏ หรือยุยงราษฎรให้เป็นกบฏ หรือรู้ว่ามีผู้จะเป็นกบฏ แล้วกระทำการใดอันเป็นการช่วยปกปิดไว้
**ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 114 ระวางโทษจำคุก 3-15 ปี
2.ร่วมกันกระทำให้ปรากฏแก่ประชาชนด้วยว่าจา หนังสือหรือวิธีอื่นใดอันมิใช่เป็นการกระทำภายในความมุ่งหมายแห่งรัฐธรรมนูญ หรือมิใช่เพื่อแสดงความคิดเห็นหรือติชมโดยสุจริต
(1) เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในกฎหมำยแผ่นดินหรือรัฐบาล โดยใช้กำลังข่มขืนใจหรือใช้กำลังประทุษร้ำย
(2) เพื่อให้เกิดความปั่นป่วนหรือกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชนถึงขนาดที่จะก่อความไม่สงบขึ้นในราชอาณาจักร หรือ
(3) เพื่อให้ประชาชนล่วงละเมิดกฎหมายแผ่นดิน
**ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 116 ระวางโทษจำคุกไม่เกิน 7 ปี
3.เป็นสมาชิกของคณะบุคคลซึ่งปกปิดวิธีดำเนินการและมีความมุ่งหมายเพื่อการอันมิชอบด้วยกฎหมาย ผู้นั้นกระทำความผิดฐานเป็นอั้งยี่ ผู้ใดเป็นสมาชิกของคณะบุคคลซึ่งปกปิดวิธีดำเนินการและมีความมุ่งหมายเพื่อการอันมิชอบด้วยกฎหมาย ผู้นั้นกระทำความผิดฐานเป็นอั้งยี่
**ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 209 ระวางโทษจำคุกไม่เกิน 7 ปี และปรับไม่เกิน 14,000 บาท
4.สมคบกันตั้งแต่ห้ำคนขึ้นไป เพื่อกระทำความผิดอย่ำงหนึ่งอย่ำงใดตามที่บัญญัติไว้ในภาค 2 นี้ และความผิดนั้นมีกำหนดโทษจำคุกอย่างสูงตั้งแต่หนึ่งปีขึ้นไป ผู้นั้นกระทำความผิดฐานเป็นซ่องโจร
**ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 210 ระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ทั้งนี้ นายศรีสุวรรณ กล่าวว่า เรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องที่หลายคนรับทราบมาโดยตลอดว่า มีพรรคการเมือง ซึ่งไม่จำเป็นต้องระบุชื่อ แต่ปรากฏตามพฤติการณ์ ที่อาจเข้าข่ายสนับสนุนการกระทำดังกล่าว จึงเป็นหน้าที่ของ กกต. ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2560 โดยเฉพาะในมาตรา 22 ที่ระบุไว้ชัดเจนว่า ต้องรีบดำเนินการแจ้งให้พรรคการเมือง หรือ ผู้บริหารพรรคการเมือง ยุติการกระทำดังกล่าว และเมื่อตรวจสอบ วินิจฉัยว่า ความปรากฎตามข้อเท็จจริง ก็สามารถเสนอศาลรัฐธรรมนูญได้ต่อไป