
"แต่ละฝ่ายกำลังดึงให้อีกฝ่ายเข้ามา "เล่นในเกมถนัด รบในสนามที่ได้เปรียบ ภาพที่ออกมาจึงกลายเป็นเกมที่ ต่างคนต่างเล่น แล้ววัดกันที่ปลายทางว่าคนตัดสินเป็นใคร?"
สัปดาห์นี้ค่อนข้างแน่ชัด "คณะกรรมการการเลือกตั้ง" (กกต.) เตรียมพร้อมประกาศรับรองรายชื่อส.ส.ไม่น้อยกว่า 95 เปอร์เซนต์ ซึ่งนั่นหมายความว่า การเปิดสภาใกล้เข้ามา เตรียมเข้าสู่กระบวนการเลือก"ประธานสภาฯ" และโหวตเลือก"นายกรัฐมนตรี"ในที่สุด
ยิ่งล่าสุด ซุ่มเสียงจากแกนนำพรรคเบอร์ 1 และ เบอร์ 2 เริ่มบรรเลงเพลงคีย์เดียวกันว่าด้วย ตำแหน่งประธานสภาฯ ประหนึ่งว่าจะลงตัวแล้ว โดยเฉพาะการให้สัมภาษณ์ของ"ภูมิธรรม เวชยชัย" รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ระบุว่า ตำแหน่ง"ประธานสภาฯ"ให้พรรคเบอร์1 นั่นคือยกให้"พรรคก้าวไกล" แต่เพื่อไทยจะขอโควต้า"สองรองประธานสภา"
ตรงนี้จะกล่าวว่าเป็นที่สรุปตรงกันแล้ว หรือเป็นการเจรจาต่อรองยื่นเงื่อนไขกันอยู่ แต่หากก้าวไกลยอมรับเงื่อนไขเพื่อไทย ศึกชิงประมุขนิติบัญญัติก็เป็นอันยุติ ?!?
เมื่อปมแย่งชิงตำแหน่ง "ประธานสภาฯ"เป็นที่ตกลงกันได้ แต่อย่าลืมว่า เงื่อนปมถัดไปคือ ผู้ที่กำลังก้าวสู่เวทีประกวด"นายกฯคนที่สามสิบ" ที่ชื่อ "พิธา ลิ้มเจริญรัตน์" หัวหน้าพรรคก้าวไกล ตามที่ 8 พรรคร่วมส่งเข้าประกวด ยังมีริ้วรอยตำหนิ ให้คอยตรวจสอบและยิ่ง สร้างความค้างคาใจเสียด้วยในประเด็น "ถือหุ้นสื่อไอทีวี" ซึ่งจะเป็นการขัดต่อคุณสมบัติการเป็นส.ส.หรือไม่
แม้"ก้าวไกล"แอบฝันถึงการเข้าสู่อำนาจกำลังใกล้เข้ามาทุกขณะ เห็นความสวยงามของอาคารรัฐสภาในการเตรียมตั้งโต๊ะรอรับการรายงานตัวส.ส.ไว้อย่างพร้อมสรรพ
แต่ ฉากหน้าทางการเมืองเพลานี้ คงหลีกเลี่ยงไม่ได้ กับสิ่งที่"ก้าวไกล"สร้างไว้อีกเรื่องก่อนหน้านี้ และพล็อตเรื่องดังกล่าวกำลังใกล้เข้ามาเช่นเดียวกัน นั่นคือ การเผชิญหน้าระหว่าง "นิตินิยาย" กับ "นิติสงคราม" ซึ่งรอวันระอุเดือดขึ้นมาเรื่อยๆ
งานนี้ ไม่ได้กล่าวหาว่าใครแต่งนิยายเป็นเรื่องโกหก แต่เป็นการพยายามสร้างความชอบธรรมให้ฝ่ายตน ดิสเครดิตฝ่ายตรงข้าม ซึ่งขณะนี้ "ฝ่ายก้าวไกล" ผูกเรื่องสร้างความน่าเชื่อถือให้ฝ่ายตน และดิสเครดิตฝ่ายตรงข้าม ขณะที่อีกฝ่ายก็ใช้ "เงื่อนแง่ทางกฎหมาย" ในทางที่ตัวเองถนัด คือ "นิติสงคราม" เล่นงานพรรคก้าวไกลเช่นกัน
สถานการณ์ที่ว่านี้จึงนำมาสู่บทวิเคราะห์ แต่ละฝ่ายกำลังดึงให้อีกฝ่ายเข้ามา "เล่นในเกมถนัด รบในสนามที่ได้เปรียบ!" ภาพที่ออกมาจึงกลายเป็นเกมที่ ต่างคนต่างเล่น แล้ววัดกันที่ปลายทางว่าคนตัดสินเป็นใคร?
ถ้าคนตัดสินคือ"ศาล" แล้วทุกอย่างจบ ฝ่ายก้าวไกลย่อมพ่ายแพ้
แต่ถ้าคนตัดสินคือมวลชน สร้าง"สงครามประชาชน"แล้วทุกอย่างจบ ฝ่ายผู้มีอำนาจอาจเพลี่ยงพล้ำ และพ่ายแพ้ให้กับ"ก้าวไกล" ซึ่งก็มีเหตุปัจจัยที่จะเกิดขึ้นได้เช่นกัน
หรือสุดท้าย ทางออกที่สาม "ตาอยู่" ต้องไม่ลืม!!!
เริ่มจากเกมถนัดของ"ก้าวไกล"ก่อน
-ประเมินแล้ว เกมกฎหมาย...พ่ายแน่ ทั้งเพราะ"พิธา"ทำตัวเอง ไม่ยอมโอนหุ้นออก ทั้งๆ ที่น่าจะรู้มาตั้งแต่สมัย"ธนาธร"โดนคดีหุ้น วีลัค-มีเดีย แล้ว และน่าจะแพ้ เพราะทีมกฎหมายไม่เก๋าพอ ขณะที่ฝ่ายผู้มีอำนาจยึดกุมกลไกเหล่านี้เอาไว้ทั้งหมด
-"ก้าวไกล"จึงพลิกมาเล่น "เกมมวลชน" ดิสเครดิตอีกฝ่าย และสร้างกระแสให้สังคมกดดัน
สังคมที่ว่านี้ ไม่ใช่ผู้คนทั้งหมดในสังคม แต่เป็น "สังคมคนเสียงดัง" ก็คือ "สังคมโซเชียลมีเดีย" ซึ่งปัจจุบันก็คล้ายๆ กับจะเป็นตัวแทนของสังคมใหญ่จริงๆ ไปแล้วนั่นเอง
-วิธีการของ"พรรคก้าวไกล" คือ
หนึ่ง สร้างดีมานด์ หรือความต้องการ หรือความคาดหวัง ว่าพรรคตัวเอง และ "พิธา" คือผู้นำแห่งความหวัง ผู้นำในการสร้างการเปลี่ยนแปลง
OO สร้างผ่านสื่อสังคมออนไลน์
OO สร้างผ่านการเดินสายพบองค์กรภาคเอกชนต่างๆ เน้นด้านเศรษฐกิจ เพราะปัญหาปากท้องได้รับความสนใจมากที่สุด และเอกชนเสียงดังกว่าภาครัฐ
OO สร้างผ่านการเดินสายขอบคุณแฟนคลับที่เลือกตัวเองเข้ามา เน้นจังหวัดที่ชนะแบบแลนด์สไลด์
สอง สร้างภาพให้เห็นว่ามีขบวนการขัดขวางก้าวไกลและ"พิธา"ไม่ให้เข้าสู่อำนาจ
วิธีการที่สองนี้ ในทางทฤษฎีความมั่นคง จะทำให้เพิ่มแรงโกรธแค้น และพลังในการสนับสนุนก้าวไกลขึ้นเป็น 2 เท่า เพราะมีการอุ่นเครื่องสร้างความหวัง หรือสร้างดีมานด์มาก่อน จากนั้นจึงมาเปิดประเด็นเรื่องขบวนการขัดขวาง และตอกย้ำให้ชัดเจนขึ้น
ขบวนการขัดขวาง ก็คือการโยงผู้มีอำนาจ มือที่มองไม่เห็น และพรรคการเมืองสายอนุรักษ์นิยมบางพรรค
โปรดสังเกต เรื่องผู้มีอำนาจ มือที่มองไม่เห็น จะไม่มีการพูดอย่างเป็นทางการผ่านพรรค เพราะผิดกฎหมาย แต่ไปปล่อยทางโซเชียลมีเดียจากทีมงานและเครือข่ายผู้สนับสนุน โดยเฉพาะข้อมูลเราเปิดแบบอ้อมๆ
"นิตินิยาย" ว่าด้วย "ทฤษฎีสมคบคิด"
-บริษัทไอทีวี มีใครถือหุ้นใหญ่
-บริษัทที่ถือหุ้นใหญ่ในไอทีวี มีบริษัทที่ถือหุ้นใหญ่อีกที เป็นของ "เสี่ยไม่ซ้ายไม่ขวา"
-"เสี่ยไม่ซ้ายไม่ขวา" มีชื่อเป็นผู้สนับสนุนหลักอย่างเป็นทางการของ "สองลุง"
-"เสี่ยไม่ซ้ายไม่ชวา" ยังมีชื่อใน "ดีลลับลังกาวี" ที่ว่ากันว่าเป็น "ดีลรักสลับขั้ว" อีกด้วย
-บริษัทของ "เสี่ยไม่ซ้ายไม่ขวา" มีบริษัทของครอบครัวแกนนำพรรคภูมิใจไทยถือหุ้นอยู่
-พรรคภูมิใจไทย คือพรรคที่ส่ง "นิกม์ แสงศิรินาวิน" สังกัด และลงสมัครรับเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา แต่ไม่ได้รับเลือกตั้ง
-"นิกม์" ก็คือคนที่ขายหุ้นไอทีวีให้ "ภาณุวัฒน์ ขวัญยืน" และ"ภาณุวัฒน์" ก็คือคนที่ไปตั้งคำถามเกี่ยวกับสถานะของบริษัทไอทีวี ที่ปรากฏในเอกสารบันทึกการประชุมผู้ถือหุ้น ที่มีการกล่าวหาในตอนหลังว่า ไม่ตรงกับคลิปเสียง
OO จะเห็นได้ว่า ถ้อยแถลงของ"พรรคก้าวไกล" โดยเฉพาะจาก"ชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรคก้าวไกล " เอ่ยอ้างถึงแค่"นิกม์" แต่ก็ตอบคำถามทิ้งปมไว้ว่า มีใหญ่กว่าที่เห็น และอ้างว่ามีหลักฐานเชื่อมโยงไปถึง ซึ่งก็คือการ "ทิ้งทุ่น" ให้เครือข่ายสร้าง "นิตินิยาย" ในโซเชียลมีเดีย เพื่อดิสเครดิตอีกฝ่ายหนึ่งนั่นเอง
สาม เมื่อ"ก้าวไกล"พลาดหวัง เท่ากับมวลชนและผู้สนับสนุนที่ปลุกเร้าอารมณ์และอุ่นเครื่องเอาไว้แล้ว จะรู้สึกโกรธเกรี้ยว เคียดแค้น ชิงชัง และออกมาเคลื่อนไหว ในลักษณะชุมนุมประท้วง แสดงจุดยืนกดดันต่างๆ สร้างความปั่นป่วน
โดยมีเป้าหมายสุดท้ายคือ "สงครามประชาชน" ซึ่งอาจไปไม่ถึงก็ได้ แต่แค่มีการชุมนุมประท้วง ก็สร้างความปั่นป่วนวุ่นวายพอสมควรแล้ว และเป็นการสร้างอำนาจต่อรองกับฝ่ายความมั่นคง ซึ่งทางพรรคก้าวไกลเชื่อว่ามีความพยายามสกัด"พิธา"ไม่ให้ขึ้นสู่อำนาจ
สี่ ตอกย้ำความชอบธรรมผ่าน 14 ล้านเสียงที่เลือกตัวเองมา โดยสื่อสารไปยังต่างประเทศให้ร่วมกดดันด้วย เรียกว่าใช้แผน "โลกล้อมไทย"