22 พฤษภาคม 2566 นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ตอบคำถามสื่อมวลชน หลังร่วมเซ็นลงนาม MOU จัดตั้งรัฐบาล ยืนยันว่าเสียงจัดตั้งรัฐบาลขณะนี้ มีตัวเลข 313 เป็นตัวเลขที่เหมาะสม ส่วนการยื่นแก้ไขมาตรา 112 และยุติปัญหา มาตรา 112 ที่ไม่มีอยู่ใน MOU นั้น พรรคก้าวไกลยืนยันที่จะทำอยู่ โดยเมื่อครั้งเป็นส.ส.ก้าวไกล ได้เคยยื่นร่างนี้เข้าสภาแล้วแต่ไม่ได้ถูกหยิบยกขึ้นมาพิจารณา แต่ครั้งนี้คาดว่าจะมีการประสบความสำเร็จไปได้ด้วยดี
ส่วนที่มีความกังวลใจ จากสมาชิกวุฒิสภาในเรื่องการแก้ไขมาตรา 112 นั้น จากที่มีการตั้งคณะเจรจา หลายเรื่อง เป็นไปในทิศทางที่ดี มาตรา112 ไม่ใช่เครื่องมือโจมตีทางการเมือง ซึ่งหลักของ MOU ที่ว่า ภารกิจของรัฐบาลทุกพรรคที่จะผลักดันร่วมกันนั้น ต้องไม่กระทบกับรูปแบบของรัฐและการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และการดำรงอยู่ในสถานะ อันเป็นที่สักการะผู้ใดจะละเมิดมิได้ขององค์พระมหากษัตริย์ ก็น่าจะทำให้ส.ว.และประชาชนสบายใจมากขึ้น ซึ่ง มาตรา112 เป็นหนึ่งในกฎหมายที่ก้าวไกลจะยื่นต่อสภา ส่วนพรรคอื่น ๆ สามารถผลักดันกฎหมายของตนเอง ที่ไม่ขัดต่อหลักการของ MOU
ทั้งนี้ ไม่กังวลถ้านำเรื่องการยกเลิกมาตรา112 เข้าไปอยู่ในสภา เพราะเป็นโอกาสที่จะพูดคุยในสิ่งที่ไม่เคยมีมาก่อน การพูดคุยหรือเข้าใจผิด เพื่อให้ประชาชนทุกคนเข้าใจว่าปัญหาของ มาตรา112 มีอะไรบ้าง แม้จะพูดไปหลายครั้ง หลายสื่อก็ยังมีความเข้าใจผิดอยู่ ซึ่งเจตนารมณ์ ของเราคือต้องการให้ความสัมพันธ์ระหว่างพระมหากษัตริย์กับประชาชนดีขึ้น แม้พรรคอื่น ๆ จะมีจุดยืนไม่เห็นด้วยกับการแก้ไขมาตรา112
ด้าน นายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า แต่ละพรรคก็ต้องไปดูในรายละเอียด ส่วนเพื่อไทยก็ต้องไปดูตัวร่างที่พรรคก้าวไกลได้เสนอขึ้นมา
ขณะที่ คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ หัวหน้าพรรคไทยสร้างไทย กล่าวว่า การที่สนับสนุนให้ พรรคที่ได้อันดับ 1 จัดตั้งรัฐบาลและสนับสนุนพี่ทาเป็นนายกรัฐมนตรี ส่วนมาตรา 112 จุดยืนของพรรคไทยสร้างไทยคือไม่แก้และไม่ยกเลิก
ส่วน พล.ต.อ.เสรีพิศุทธิ์ เตมียเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย กล่าวว่า พรรคเสรีรวมไทยไม่มีเรื่องนี้ ก็ต้องพิจารณากันในสภา แต่ที่ผ่านมาเห็นว่าการแก้ไขมาตรา 112 ได้ประโยชน์ทั้งสถาบันฯ และประชาชน แต่ใน MOU ไม่ได้กำหนดไว้ ส่วนคนที่ไม่เข้าใจอย่างส.ว.ก็จะนำข้อนี้มาเป็นปัญหา จึงต้องนำเรื่องนี้ออกไปก่อน
เมื่อถามว่าการแก้ไขมาตรา 112 จะส่งผลให้ ส.ว.ไม่โหวตเลือกตนเป็นนายกรัฐมนตรีหรือไม่ นายพิธา กล่าวว่า ไม่กังวลว่า ส.ว. จะใช้เป็นเหตุผลในการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี และเชื่อว่าส.ว. จะเข้าใจและไม่มีอะไรน่ากังวลใจ และไม่ห่วงการชุมนุมของกลุ่มเยาวชนในวันพรุ่งนี้ เพื่อกดดันให้ส.ว.โหวตเลือกตนเองเป็นนายกรัฐมนตรี
สำหรับเรื่องกัญชา ที่จะออกประกาศกฎกระทรวงให้กลับไปเป็นยาเสพติดอีกครั้งนั้น นายพิธา กล่าวว่า ปัญหาของกัญชาอยู่ที่สภาพบังคับ เมื่อ MOU เขียนไว้ชัดเจนว่ากัญชาจะนำไปเป็นยาเสพติดให้โทษ ผ่านการออกประกาศของกระทรวงสาธารณสุข โดยมีกฎหมายควบคุมและการใช้ประโยชน์ของกัญชา ก็หมายความว่าจะมีการควบคุม เพราะช่วงที่ผ่านมาไม่มีสภาพบังคับ ใครที่ทำและเกิดสุญญากาศ ใครที่ทำถูกต้องตามกฎหมายมาโดยตลอดก็ไม่ต้องกังวล การมี MOU เพื่อป้องกันการแอบปลูก แอบนำเข้ากัญชาที่ไม่มีคุณภาพ
สำหรับเรื่องการสมรสเท่าเทียม ดูเหมือนจะไม่ครอบคลุมกับหลักศาสนาอิสลาม นายพิธา กล่าวว่า เป็นการรับรองสิทธิ์แต่ไม่ได้เป็นการบังคับ ขณะที่นายวันมูฮัมหมัดนอมทา หัวหน้าพรรคประชาชาติ การทำพิธีสมรสนั้นประกอบด้วยคนสมรสและผู้ทำพิธี ถ้าไม่ถูกต้องตามหลักศาสนาแล้วกฎหมายจะไป บังคับไม่ได้ จะไปบังคับให้ทำพิธีไม่ได้ เพราะผิดหลักศาสนา
สำหรับสันติภาพชายแดนใต้และกระบวนการเสรีภาพจะจบในรัฐบาลนี้หรือไม่ นายพิธา กล่าวว่า หน้าที่การดูแลของนายกรัฐมนตรี หรือตนเอง ซึ่งต้องมีพลเรือนในอยู่ในกระบวนการ พลเรือนต้องนำทหารในเรื่องนี้ส่วนเรื่องภัยความมั่นคงต้องเปลี่ยนให้กลายเป็นมั่งคั่งทางอาหารทางสาธารณสุข แก้ไขปัญหาไม่ใช่ใช้งบประมาณ 4-5 แสนล้านต่อปีแล้ว เป็นเรื่องของความมั่นคงอย่างเดียว เพราะรู้อยู่ว่าเรื่องนี้ไม่ใช่อย่างนั้น ส่วนเรื่องของการแบ่งแยกดินแดน มองว่าผู้นำคนต่อไปต้องมีความหนักแน่น และมีผู้เชี่ยวชาญเรื่องแบบนี้ ส่วนใหญ่จะเป็นข่าวลือมาเรื่อย ๆ ทั้งที่จริงแล้วปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ เป็นเรื่องเกี่ยวกับปากท้อง หากคิดเรื่องนี้อย่ามีวุฒิภาวะและมีสติจะแก้ไขปัญหาได้ตรงจุด
พร้อมกันนี้ นายพิธา ยังกล่าวถึงการรวมเสียงบทนายกรัฐมนตรีให้ถึง 375 เสียงนั้น ว่ากระบวนการทำงานของเรา มีความเป็นไปได้ด้วยดีไม่ได้มีความจำเป็นอะไรที่จะเป็นไปไม่ได้ โดยแผนสำรอง รัฐธรรมนูญและกฎหมายกำหนดไว้ชัดเจนว่าจะทำอย่างไรได้บ้าง และตนไม่ข้อกังวล
"ผมในฐานะผู้นำจัดตั้งรัฐบาลเรา ทำงานมาด้วยกัน 4 ปี และเริ่มจัดตั้งรัฐบาลมามีการทำงานด้วยความหนักแน่นทุกพรรคที่อยู่บนนี้ในฐานะที่ตนเป็นผู้นำทำงานด้วยความเคารพซึ่งกันและกันและให้เกียรติซึ่งกันและกัน ตนไม่มีความกังวลแต่อย่างใด" นายพิธา ระบุ
สำหรับประเด็นการเลือกประธานรัฐสภา และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมนั้น นายพิธา กล่าวว่า เป็นเรื่องที่เร็วเกินไปที่จะพูดคุยขณะนี้ ถ้าหากต้องการให้เป็นไปตามหลักความร่วมมือ MOU เอาประชาชนเอานโยบายมาเป็นตัวตั้ง ก็ต้องเอาคนที่เหมาะสมกับงานมาทำ เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงมากที่สุดที่จะเป็นไปได้
พร้อมกันนี้ นายพิธา ยังกล่าวถึง มีกฎหมายหรือสวัสดิการที่จะดูแล ศาสนาพุทธและทุกศาสนา พรรคก้าวไกลเชื่อในความหลากหลายและความเท่าเทียม เชื่อในสังคมพหุวัฒนธรรมศาสนาพุทธ เป็นศาสนาที่มีความสำคัญของประชาชนคนไทยถ้ามีอะไรที่สนับสนุนได้ยินดีที่จะสนับสนุน
ด้าน คุณหญิงสุดารัตน์ กล่าวว่า ศาสนาของไทย ส่วนใหญ่เป็นพระพุทธศาสนา ในฐานะรัฐบาลคาดว่าศาสนาพุทธ จะได้รับการสนับสนุนการส่งเสริมที่ดีขึ้นกว่าที่ผ่านมา
ส่วนเรื่องการอำนวยความยุติธรรมเกี่ยวกับผู้ชุมนุมทางการเมือง ซึ่งพรรคก้าวไกล มีนโยบายถึงขั้นนิรโทษกรรมกลุ่มผู้ชุมนุม นายพิธา กล่าวว่า เรื่องของการนิรโทษกรรมมีความพยายามที่จะพูดคุยกันแต่เราตัดสินใจที่จะให้เป็นวาระเฉพาะของแต่ละพรรคซึ่งพรรคก้าวไกลก็ทำนโยบายตามที่หาเสียงไว้
นายพิธา ยังกล่าวถึง คำร้องการถือหุ้นสื่อที่อยู่ในชั้นการพิจารณาของคณะกรรมการการเลือกตั้งว่า เราไม่ตีตนไปก่อนไข้ ซึ่งตนก็ได้เตรียมตัวในการชี้แจงแล้วไม่ว่าจะเป็นหลักฐานหลักกฎหมาย แต่ทั้งหมดต้องรอดูคำร้องว่าเป็นไปในลักษณะไหน เพื่อที่จะชี้แจงให้ประชาชนเข้าใจ และคลายกังวลในเรื่องนี้ไปได้
ขณะที่ คุณหญิงสุดารัตน์ กล่าวถึงการขจัดรัฐประหาร ว่า ถ้าดูใน MOU จะอยู่ในข้อ 1 คือการที่ร่วมกันผลักดัน รัฐธรรมนูญของประชาชน จะต้องไม่มาจากปลายกระบอกปืนของเผด็จการแต่ต้องมาจากปลายปากกาของประชาชน และต้องระบุให้เป็นจารีตว่าการรัฐประหารคือกบฏและต้องได้รับโทษสูงสุด และให้การทำรัฐประหารเมื่อปี 57 เป็นการทำรัฐประหารครั้งสุดท้ายของประเทศไทย
ส่วนการทำ MOU ของทุกพรรคที่จะทำงานร่วมกันไม่ว่าจะเป็นฝ่ายค้านหรือรัฐบาล นายพิธา กล่าวว่า สามารถเป็นไปได้ ส่วน นพ.ชลน่าน กล่าวว่า ในฐานะพรรคการเมืองฝ่ายประชาธิปไตย พยายามทำหน้าที่ให้ดีที่สุด แม้ว่าสาระของรัฐธรรมนูญจะมีปัญหา หรือบิดเบี้ยว ยึดมั่นในตัวเองแล้วจะทำให้รัฐธรรมนูญเป็นรัฐธรรมนูญของประชาชน
ส่วนเมื่อแก้รัฐธรรมนูญแล้วยุบสภาแล้วเลือกตั้งใหม่ หรือรอจนหมดวาระแล้วเลือกตั้งใหม่ นายพิธา กล่าวว่า กระบวนการจัดทำรัฐธรรมนูญคงจะมีอายุใกล้เคียงกับรัฐบาลคือ 4 ปี ซึ่งเป็นรูปแบบระหว่างการจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่กับการมีรัฐบาลใหม่