svasdssvasds
เนชั่นทีวี

การเมือง

เปิดปฐมบท"Fair Party"กับแบ็คกราวด์เส้นทางสู่"พรรคเป็นธรรม"

การแถลงข่าวรวมตัว 8 ว่าที่พรรคร่วมรัฐบาลวานนี้ นำโดยก้าวไกลในฐานะแกนนำจัดตั้งรัฐบาล ที่มีพรรคเล็ก-พรรคจิ๋ว ระดับ 1 เสียง รวมอยู่ด้วย 3 พรรค คือ พรรคเสรีรวมไทย พรรคพลังสังคมใหม่ และพรรคเป็นธรรม

พรรคเสรีรวมไทย ของ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส คนไทยทั่วประเทศรู้จักกันดีอยู่แล้ว

พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส

พรรคพลังสังคมใหม่ ช่วงไม่กี่วันมานี้ ก็มีข่าวออกมาค่อนข้างมาก โดยเฉพาะหัวหน้าพรรค ซึ่งเป็น "คนน่าน" บ้านเดียวกับ "นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว" หัวหน้าพรรคเพื่อไทย

พรรคเป็นธรรม มีหลายคนตั้งคำถามว่าเป็นใคร มาจากไหน ทำไมถึงได้ถูกดึงมาร่วมรัฐบาล

ซึ่งจริงๆ แล้วในช่วงของการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง สื่อมวลชนบางแขนงเคยนำเรื่องราวของ "พรรคเป็นธรรม" มานำเสนออยู่บ้างประปราย ว่าเป็นพรรคการเมืองหน้าใหม่ที่มี "ปิติพงศ์ เต็มเจริญ" เป็นหัวหน้าพรรค และมี "กัณวีร์ สืบแสง" เป็นเลขาธิการพรรค ขึ้นดำรงตำแหน่งก่อนเลือกตั้งเพียงไม่นาน

ปิติพงศ์ เต็มเจริญ

อีกทั้ง ยังมี "เสธ.แมว" พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร อดีตเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ หรือ สมช. ในฐานะสมาชิกพรรคเพื่อไทย เป็นผู้สนับสนุนหลักอย่างเป็นทางการ

"พรรคเป็นธรรม" มีชื่อติดหูติดตาในระยะหลัง เพราะเสนอนโยบาย "ตรงและแรง" เกี่ยวกับการแก้ปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยเฉพาะแคมเปญ "พาทหารกลับบ้าน" ซึ่งหมายถึง "ถอนทหารพ้นชายแดนใต้" ยกเลิกกฎหมายพิเศษทุกฉบับ และมุ่งเน้นสิทธิมนุษยชน ซึ่งเป็นประเด็นเชิงนามธรรม ที่ไม่ค่อยมีพรรคการเมืองไหนหยิบมาหาเสียง

สำหรับในทางการเมือง มีข่าวกระเซ็นกระสายว่า "พรรคเป็นธรรม" น่าจะถูกตั้งขึ้นมาเพื่อตัดคะแนนพรรคก้าวไกลที่ชายแดนใต้ เพื่อให้พรรคเพื่อไทย กับพรรคประชาชาติ ซึ่งเป็นพันธมิตรแนบแน่น ได้คะแนนเป็นกอบเป็นกำ และไม่ถูกก้าวไกลเบียด หรือโค่นเสาไฟฟ้า ในพื้นที่ปลายด้ามขวาน

 

ถึงวันนี้ "พรรคเป็นธรรม" มี 1 เสียง กำลังได้เข้าร่วมรัฐบาล ดังนั้น มาทำความรู้จักพรรคนี้เพิ่มขึ้น เพราะบางมิติที่น่าสนใจ

พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร

คีย์แมนของพรรคนี้ ถ้าไม่นับ "เสธ.แมว" ก็มีอยู่ 2 คน คือ "ดุ่ย" ปิติพงศ์ เต็มเจริญ กับ "นล" กัณวีร์ สืบแสง

โดย "ปิติพงศ์" ไม่ใช่หน้าใหม่ทางการเมือง เคยเป็น ส.ส.เขตตลิ่งชัน สังกัดพรรคประชากรไทย ในยุค "สมัคร สุนทรเวช" ฟีเวอร์ ก่อนต่อมาได้เป็นนายกฯ ในนามหัวหน้าพรรคพลังประชาชน

สำหรับเส้นทางการเมืองก็มีประสบการณ์​พอตัว เคยเป็นเลขานุการรัฐมนตรีหลายคน หลายกระทรวง เช่น เลขานุการ รมว.ต่างประเทศ และเคยเป็นเลขานุการ "ชัยเกษม นิติสิริ" ซึ่งปัจจุบันเป็นแคนดิเดตนายกฯ ของพรรคเพื่อไทย

กระทั่งต่อมา "ปิติพงศ์" ลาออกจากพรรคเพื่อไทย เพราะต้องการแสวงหาแนวทาง "การเมืองใหม่" และด้วยความที่รู้จักกับ "เสธ.แมว" เนื่องจากเคยเป็นศิษย์ทางการเมืองของ "ปรีดา พัฒนถาบุตร" อาของ "เสธ.แมว" ซึ่งเคยเป็นอดีตรัฐมนตรีหลายกระทรวง รวมทั้งรัฐมนตรีว่าการทรวงมหาวิทยาลัย จึงได้ปรึกษากับ "เสธ.แมว" และตั้งพรรคเป็นธรรมขึ้น

กัณวีร์ สืบแสง

ความผูกพันกับ "เสธ.แมว" และ "ตระกูลพัฒนถาบุตร" ทำให้เชื่อมโยงถึง "ตระกูลชินวัตร" เพราะ "ทักษิณ ชินวัตร" เคยเป็นตำรวจติดตาม "ปรีดา" สมัยดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี และถือเป็น "ศิษย์เอกผู้พี่" ในทางการเมืองของ "ปรีดา" ส่วน "ปิติพงศ์" ถือเป็น "ศิษย์เอกคนรอง" ฉะนั้น "เสธ.แมว" จึงเหมือนเป็น "ที่ปรึกษาส่วนตัวในทางการเมือง" ของ "ปิติพงศ์" ด้วย

ที่มาของ "พรรคเป็นธรรม" หลังจาก "เสธ.แมว" เสนอให้ตั้งพรรคใหม่ ก็ใช้ทางลัด จึงไปนำพรรคการเมืองที่จดทะเบียนอยู่แล้วมาปรับโครงสร้างใหม่ ชื่อว่า "พรรคกลาง" โดย "ปิติพงศ์" เข้าไปเป็นเลขาธิการพรรค จากนั้นก็ปรับโครงสร้างกรรมการบริหารใหม่ พร้อมเปลี่ยนชื่อเป็น "พรรคเป็นธรรม" โดยชื่อภาษาอังกฤษไม่ใช้ทับศัพท์ แต่ใช้คำว่า Fair Party ทำให้เข้าใจง่าย แม้ฝรั่งอ่านก็ยังเข้าใจ


 

ส่วนคำว่า "เป็นธรรม" เป็นรากฐานของประชาธิปไตย การจะเกิดความเป็นธรรมได้ ต้องมีทั้งเรื่อง "สิทธิ เสรีภาพ ภราดรภาพ ความเท่าเทียม ความไม่เหลื่อมล้ำ" ซึ่งล้วนเป็นเรื่องที่สังคมต้องการ

จากประสบการณ์ของ "เสธ.แมว" มองว่า เงื่อนไขเปลี่ยนการเมือง มี 2 อย่างสำคัญ คือ

1.ประชาชนไม่มีจะกิน คือ ปัญหาเศรษฐกิจ ปากท้อง

2.เรื่องความไม่ธรรม

จึงคือที่มาของคำว่า "พรรคเป็นธรรม" เพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง

สำหรับประวัติชีวิตของ "ปิติพงศ์" เอง ก็ถือว่าไม่ธรรมดา อยู่ในครอบครัวคหบดีย่านฝั่งธนบุรี เป็นเจ้าของที่ดินที่สร้างเป็น "สถานีขนส่งสายใต้" ทั้งแห่งเก่า บริเวณสามแยกไฟฉาย และแห่งใหม่ย่านตลิ่งชัน ติดกับทางยกระดับบรมราชชนนี

ปิติพงศ์ เต็มเจริญ / กัณวีร์ สืบแสง

ส่วนเรื่องการศึกษาจบคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และไปศึกษาต่อด้านกฎหมายที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด

ขณะที่ "นล" กัณวีร์ สืบแสง จบจากโรงเรียนสวนกุหลาบ มหาวิทยาลัยรามคำแหง ระดับเกียรตินิยม ก่อนไปศึกษาต่อปริญญาโทที่สหรัฐฯ และเคยทำงานที่ สมช. จึงรู้จักสนิทสนมกับ "เสธ.แมว"

ต่อมาได้ลาออกจาก สมช. ไปทำงานยูเอ็น ในส่วนงานดูแลผู้อพยพ หรือ ยูเอ็นเอชซีอาร์ (สำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ) เคยเป็น ผอ.ศูนย์อพยพสำคัญๆ ทั้งที่ จ.แม่ฮ่องสอน และอีก 8 ประเทศ ซึ่งแต่ละประเทศล้วนงานหนัก งานใหญ่ทั้งสิ้น เช่น ซูดาน และศูนย์สุดท้ายที่เข้าไปทำงานก่อนลาออกมาลงการเมือง คือ เมียนมา

การไปทำงาน "ยูเอ็นเอชซีอาร์" ได้รับการสนับสนุนจาก "เสธ.แมว" เป็นคนลงนามรับรอง จึงเพิ่มน้ำหนักให้ "นล" กัณวีร์ ได้เข้าไปแสดงฝีมือในหน่วยงานระดับนานาชาติ ความสัมพันธ์ของ 2 คนนี้ จึงแนบแน่น ไม่แพ้ "ปิติพงศ์" กับ "เสธ.แมว"

ทว่า วันเวลาผ่านไป 12 ปี "นล" กัณวีร์ เกิดความสนใจการเมือง จึงมาปรึกษา "เสธ.แมว" และสุดท้ายลงตัวที่ "พรรคเป็นธรรม"

โดย "นล" กัณวีร์ เข้าไปเป็นรองหัวหน้าพรรค ก่อนขยับเป็นเลขาธิการพรรค เพราะคุยกับ "ปิติพงศ์" แล้วคลิกลงตัว ชูนโยบายสำคัญด้านสิทธิมนุษยชน และความมั่นคง ที่เคารพสิทธิเสรีภาพและกฎหมาย จึงลุยงานด้านนี้เต็มตัว ประกาศนโยบายที่แรงและตรง ทำให้ได้ใจมวลชนจำนวนไม่น้อย โดยเฉพาะในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้

เมื่อไล่ดูผลเลือกตั้งพรรคเป็นธรรม กลับได้คะแนนกระจายจากทั่วประเทศ 181,699 คะแนน โดย "เสธ.แมว" วิเคราะห์ว่า เป็นเพราะนโยบายด้านสิทธิมนุษยชนที่เสนอสำหรับแก้ปัญหาชายแดนใต้ โดนใจคนทั่วประเทศ จึงได้คะแนนมาเป็นกอบเป็นกำ

"พรรคเป็นธรรม" มีความเป็นธรรมตั้งแต่การบริหารงานในพรรค เพราะ "ปิติพงศ์" ยอมเสียสละ เป็นหัวหน้าพรรค แต่ลงสมัคร ส.ส.เขต ซึ่งถือเป็นอีกพรรคหนึ่งที่หัวหน้าพรรคลงส.ส.เขต นอกจากพรรคเพื่อไทย กับพรรคทางเลือกใหม่ แต่ไม่ได้รับเลือกตั้ง ส่วนปาร์ตี้ลิสต์ เบอร์ 1 เป็น "นล" กัณวีร์ และได้เข้าสภา

เปิดปฐมบท"Fair Party"กับแบ็คกราวด์เส้นทางสู่"พรรคเป็นธรรม"

ทั้งคู่ร่วมงานกันอย่างดีไม่มีปัญหา ซึ่งวันนัดดินเนอร์ว่าที่พรรคร่วมรัฐบาล "ปิติพงศ์" ก็เป็นคนไปส่ง "กัณวีร์" แต่ไม่ได้เข้าไปร่วมงาน

ส่วนวันแถลงข่าวร่วมกันที่โรงแรม โอกุระ เพรสทีจ หัวหน้าพรรคต้องไป "ปิติพงศ์" จึงปรากฏตัวพร้อม "กัณวีร์" และมอบหมาย "กัณวีร์" ให้ไปหารือการจัดทำกรอบเอ็มโอยูนโยบายและการแถลงทิศทางของรัฐบาลชุดใหม่ 22 พ.ค.นี้

ซึ่งตรงกับวันครบรอบ 9 ปีรัฐประหาร 57 พอดิบพอดี!