ตั้งแต่การเลือกตั้งปี 2544 ,2548, 2550, 2554, 2562 "พรรคไทยรักไทย/พลังประชาชน/เพื่อไทย" ในสายการบัญชาของตระกูลชินวัตรนั้น ครองแชมป์เลือกตั้งห้าสมัยติดต่อกัน ผลคะแนนที่"พรรคสายชินวัตร"ดูแลในห้าสมัยที่ผ่านมาคือสมัยแรก(ทรท.) 248 ส.ส., สมัยที่สอง(ทรท.) 377 ส.ส., สมัยที่สาม(พปช.) 233 ส.ส.,สมัยที่สี่ (พท.) 265 ส.ส., สมัยที่ห้า (พท.) 136 ส.ส.
แต่พื้นที่หนึ่งที่ยากจะปักธงได้คือ"ปักษ์ใต้" (ไม่นับจังหวัดชายแดนภาคใต้เพราะเป็นพื้นที่กลุ่มวาดะห์ที่เดิมสังกัดพรรคความหวังใหม่และยุบพรรคมารวมกับ"พรรคไทยรักไทย"และวันนี้แยกไปตั้ง"พรรคประชาชาติ"รวมทั้งกระจายตัวไปพรรคอื่นๆ เช่น พรรคภูมิใจไทย ) พบว่า มีเพียงสมัยที่สอง "กฤษ สีฟ้า" ปักธงส.ส.ทรท.ในพื้นที่จ.พังงาได้เพียงคราวเดียว โดยโค่น "จุฤทธิ์ ลักษณวิศิษฏ์"ค่ายสีฟ้าแบบหักปากกาเซียน (ตอนนั้นเกิดสึนามิ ทักษิณลงไปแก้ไขสถานการณ์และ"กฤษ"ดูแลชาวบ้านที่เดือดร้อนได้ดี)
ปฐมบทที่ชัดแจ้งนั้นคือ ปรากฏในวันที่ 31 ต.ค. 2548 เพราะ "ทักษิณ" ปราศรัยที่อ.บรรพตพิสัย จ.นครสวรรค์ไว้ว่า "ผมตรงไปตรงมาไม่อ้อมค้อม จังหวัดไหนมอบความไว้วางใจให้เราต้องดูแลเป็นพิเศษ แต่เราต้องดูแลคนทั้งประเทศด้วย แต่เวลาจำกัด ต้องเอาเวลาไปจังหวัดที่เราได้รับความไว้วางใจมากเป็นพิเศษ จังหวัดที่ไว้วางใจเราน้อยต้องเอาไว้ทีหลัง ไม่ใช่ไม่ไป คิวต้องเรียงอย่างนี้ ผมเป็นคนพูดตรงไปตรงมา เปิดเผย สื่อมวลชนอยู่ต้องเปิดเผย ไม่มีความลับ
สำหรับผม วันนี้คิดกับประชาชนอย่างไร ก็อยากเห็นคนทั้งประเทศไม่ว่าอยู่ที่ไหน เลือกหรือไม่เลือกผม ก็อยากให้ทุกคนหายจน แต่เนื่องจากเวลาจำกัดก็ต้องไล่ลำดับกันไป แต่เจ้าหน้าที่ก็ทำเหมือนกันหมดทั่วประเทศ"
ตรงนี้เองที่ทำให้คนภาคใต้ไม่เอาระบอบทักษิณอย่างเป็นทางการหลังจากนั้น พรรคในสายชินวัตรก็ไม่มีโอกาสปักธง ส.ส. ในภาคใต้ได้เลย เหตุผลนี้มาจากอะไร
คำตอบที่เจาะได้จากนักสังเกตการณ์การเมืองคนหนึ่งลงพื้นที่สองสัปดาห์ก่อนเลือกตั้งและลงพื้นที่จับกระแสหย่อนบัตรงวดนี้พบว่า ชาวปักษ์ใต้ยังแคลงใจการบริหารงานของคนใน"ตระกูลชินวัตร"ว่าไม่ซื่อสัตย์,ไม่เคารพประชาธิปไตยและกติกา, เล่นพรรคเล่นพวก, ทุจริต ,ไม่จงรักภักดี, สนับสนุนคนเสื้อแดง รวมทั้งจุดไฟความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ให้ปะทุจนวันนี้
แม้ที่ผ่านมาพรรคในสายของตระกูลชินวัตรจะทำงานดีเพียงใดในหลากวาระ แต่ความแคลงใจที่มีต่อชินวัตรแฟมิลี่ทุกรุ่นของชาวภาคใต้ก็ไม่แปรผัน บวกกับการเย้ย"พรรคประชาธิปัตย์"ในหลากวาระของคนแดนไกลในห้วงที่ผ่านมา
ยิ่งทำให้คนภาคใต้ไม่เอาชินวัตรแฟมิลี่ รวมทั้งพร้อมเคลื่อนไหวล้มระบอบทักษิณได้ทุกวินาที(ม็อบเสื้อเหลืองและม็อบนกหวีด)
จุดนี้คือสารตั้งต้นที่ย้ำความรู้สึกของคนภาคใต้ว่า ไม่ควรให้โอกาสกับครอบครัวนี้ และแม้จะต่อสู้เพียงใดกับระบอบทักษิณผ่านหลากวาระและหลายแกนนำ(พรรคประชาธิปัตย์,กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย(ม็อบเสื้อเหลือง),กปปส.)มิอาจโค่นได้แบบถาวร
แม้แต่ช่วงที่คมช.เข้ามายึดอำนาจเมื่อ19 ก.ย. 2549 ไม่อาจนำระบอบทักษิณใส่หม้อถ่วงน้ำได้อย่างถาวร จนกระทั่ง 22 พ.ค.2557-วันนี้ พบว่าคนปักษ์ใต้ให้ความนิยมในตัวของ"พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา"แบบไม่เสื่อมคลาย
พลันที่คสช.เข้ามาและกลายสภาพเป็น"พรรคพลังประชารัฐ"แตกตัวเป็น"พรรครวมไทยสร้างชาติ" คนปักษ์ใต้มั่นใจในตัวตนของ"ลุงตู่"ว่า เป็นคนเดียวที่ล้างระบอบทักษิณให้สิ้นไปได้แบบถาวร จึงทำให้"รทสช."บุกแหลกในแดนด้ามขวานทองในห้วงเวลาที่ผ่านมาว่า น่าจะปักธงส.ส.ภาคใต้ 14 จังหวัด ( 60 เขตเลือกตั้ง )และดึงคะแนนปาร์ตี้ลิสต์ไปได้พอสมควร อะไรจะเกิดก็ต้องเกิดอาจชนะพรรคสีฟ้าที่ตอนนี้มิใช่แชมป์เก่าในย่านนี้แล้ว
โดยการเลือกตั้งเมื่อปี 2562"พรรคประชาธิปัตย์"เสียพื้นที่ไปจำนวนมาก ปชป.ได้รับเลือกส.ส.ภาคใต้ครั้งนั้น 22 ที่นั่ง จาก 50 ที่นั่ง ส่วนอีก 28 ที่นั่งนั้นกลายเป็นของพรรคพลังประชารัฐ พรรคประชาชาติและพรรคภูมิใจไทย
บวกกับพรรคสีน้ำเงินที่สร้างผลงานและปูฐานไว้ได้หลายเขตในภาคใต้นั้น เท่ากับว่า"พรรคสีฟ้า"โดน"พรรคสีน้ำเงิน"กับ"พรรคลุงตู่"รุกไล่ดังนั้น ตัวเลข 40 ส.ส.ภาคใต้ที่แกนนำพรรคสีฟ้าคาดหวังอาจจะเหนื่อยหนักกว่าที่ประเมินกันไว้
สถานการณ์วันนี้จนถึงวันหย่อนบัตร พบว่า "ลุงตู่"ยืนหนึ่ง "พรรคสีน้ำเงิน"ขึ้นแท่นที่สอง "พรรคสีฟ้า"วางไว้ที่อันดับสาม หากจะมีอะไรพลิกเกมในไม่กี่อึดใจข้างหน้า ต้องรออ่านหลังเปิดหีบนับแต้มแล้วอาจจะพบว่า กลยุทธใดที่ทำให้แต้มต่อกลับกลายเป็นรองและพลิกล็อกได้