11 พฤษภาคม 2566 นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ ประธานพรรคชาติพัฒนากล้า พร้อมด้วยนายวัชรพล โตมรศักดิ์ ผู้สมัคร ส.ส.เบอร์ 6 เขต 2 นครราชสีมา ขึ้นขบวนรถแห่หาเสียงไปตามพื้นที่เขตเลือกตั้งที่ 2 ในช่วงโค้งสุดท้ายก่อนถึงวันเลือกตั้ง 14 พฤษภาคมนี้ โดยเริ่มขบวนแห่หาเสียงตั้งหน้าวัดดอนขวาง ต.หัวทะเล อ.เมืองนครราชสีมา ไปตามทางหลวงหมายเลข 226 ถนนเพชรมาตุคลา ต่อไปยังพื้นที่ ต.มะเริง
เพื่อแวะทักทายมวลชนละพ่อค้าแม่ค้าที่ตลาดสารภี แล้วจึงไปที่ ต.หนองระเวียง ต.หนองบัวศาลา ผ่านเขตอุตสาหกรรมสุรนารี ก่อนจะต่อไปยัง ต.บ้านเกาะ และ ต.จอหอ อ.เมืองนครราชสีมา ตามลำดับ ซึ่งมีประชาชนในแต่ละพื้นที่ให้การต้อนรับอย่างอบอุ่นตลอดเส้นทาง
นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ ประธานพรรคชาติพัฒนากล้า กล่าวว่า ช่วงโค้งสุดท้ายของการหาเสียงเลือกตั้งทางพรรคชาติพัฒนากล้าเร่งเดินหน้าพบประชาชน เพื่อเสนอนโยบายเรื่องของเศรษฐกิจฝากท้องของประชาชนเป็นหลัก เพราะหลังจากเลือกตั้งไปแล้วจะมีการเปลี่ยนแปลง ส.ส.และคณะผู้บริหารรัฐบาลชุดใหม่
ดังนั้น จึงต้องมีการวางแผนเรื่องของนโยบายต่างๆ เพื่อให้ประชาชนได้รับประโยชน์สูงสุด ส่วนกรณีที่มีมือดีทำใบปลิวโจมตีนายเทวัญ ลิปตพัลลภ ผู้สมัคร ส.ส. เขต 1 เบอร์ 5 ของชาติพัฒนากล้านั้น ตนเองมองว่า เป็นเรื่องปกติ ของช่วงโค้งสุดท้ายการเลือกตั้ง ที่ผู้สมัครซึ่งมีแนวโน้มว่าคะแนนนำ จะถูกใส่ร้ายโจมตี เพื่อทำให้ประชาชนเกิดความสับสน ต้องฝากถึง กกต.ให้มีการสอบสวนสืบสวนเพื่อหาผู้กระทำผิดมาดำเนินคดีตามกฎหมายเลือกตั้งให้ถึงที่สุด
ทั้งนี้ การกระทำลักษณะเช่นนี้ ไม่ได้ทำให้เกิดความย่อท้ออยู่แล้ว เพราะผ่านการเลือกตั้ง มา 7-8 ครั้งแล้ว ก็เจอเรื่องลักษณะอย่างนี้มาโดยตลอด ดังนั้นครั้งนี้จึงถือว่าเฉยๆ พรรคชาติพัฒนากล้ามีประชาชน คอยสนับสนุนอย่างอบอุ่น ภายใต้สโลแกน "คนโคราช รักจริงไม่ทิ้งกัน" โดยตนเองจะปักหลัก อยู่กับคนโคราชจนถึงวันเลือกตั้ง เพราะจะลงคะแนนเลือกตั้งในโคราชด้วย ช่วงนี้ต้องขอเฝ้าถ้ำก่อน
นายสุวัจน์ กล่าวย้ำว่า พรรคชาติพัฒนากล้าตั้งเป้า ในพื้นที่โคราชจะต้องให้ได้อย่างน้อย 4 เขต คือ เขต 1 เขต 2 เขต 3 และเขต 4 ที่เป็นไข่แดงพื้นที่เศรษฐกิจของโคราช ส่วนการจะไปจับมือกับภาคใดหลังการเลือกตั้งนั้น ตนเองก็ย้ำมาโดยตลอดว่าจะสนับสนุนพรรคการเมืองที่ได้รับคะแนนเสียงเป็นอันดับ 1 ให้เกียรติเป็นพรรคแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลก่อน เพื่อให้เป็นไปตาม ทำนองคลองธรรมของระบบประชาธิปไตย และเป็นไปตามเจตนารมณ์ของเสียงส่วนใหญ่ประชาชน ที่ลงคะแนนเลือกตั้งมาแล้ว