เหลืออีกเพียง 20 กว่าวัน จะถึงวันหย่อนบัตร"เลือกตั้ง 66"บรรดากูรูการเมือง มองว่า หากผลการเลือกตั้งออกมาบางรูปแบบ อาจจะมองเห็นหน้าตารัฐบาลชุดใหม่ในคืนแรก หลังรู้ผลเลือกตั้งอย่างไม่เป็นทางการได้เลย
ผลการเลือกตั้งที่จะนำไปสู่การมองเห็นหน้าตารัฐบาลชุดใหม่ได้ไม่ยาก มีดังนี้
หนึ่ง "เพื่อไทย" แลนด์สไลด์ หรือเกือบจะแลนด์สไลด์ โดยเมื่อรวมกับพรรคฝ่ายประชาธิปไตยแล้วแลนด์สไลด์ คือเกิน 250 เสียง
ไม่ว่าจะจัดตั้งรัฐบาลกับ"ก้าวไกล"ด้วยหรือไม่ก็ตาม เพราะถึงอย่างไร"ก้าวไกล" ก็จะยกมือให้แคนดิเดตนายกฯของเพื่อไทยแน่นอน เพื่อขวาง 2 ลุงไม่ให้พลิกเกมกลับมา
ถ้าผลการเลือกตั้งออกมารูปแบบนี้ "กูรู" เชื่อว่า ส.ว.ไม่กล้าพลิ้ว เพราะฉันทามติประชาชนค่อนข้างชัดเจน และยังอาจมีเกมต่อรองจากฝ่าย "ว่าที่รัฐบาลใหม่" ปลดล็อกทางการเมืองให้ ส.ว.สามารถโลดแล่นบนเวทีการเมืองต่อไปได้ ไม่ต้องติดเงื่อนไข 2 ปี ( รัฐธรรมนูญมาตรา 112 ) เพื่อแลกกับคะแนนโหวต"แคนดิเดตนายกฯ"
สอง เพื่อไทยไม่แลนด์สไลด์ และได้ไม่ถึง 200 เมื่อรวมกับ"ก้าวไกล" และพรรคฝ่ายค้านเดิมทุกพรรคแล้ว ยังไม่ถึง 250 แบบนี้จะชัดเจนว่า ขั้วรัฐบาลเดิมจะจับกันแน่น และน่าจะชิงจัดตั้งรัฐบาลได้ แม้เสียง ส.ส.จะน้อยกว่าก็ตาม เพราะมีอำนาจแฝงและ "ตัวช่วย" เยอะกว่ามาก ทั้ง ส.ว. และ องค์กรอิสระ
แต่ถ้าผลการเลือกตั้งออกมาเป็นแบบอื่น อาจจะต้องลุ้นกันต่อไป แต่มีโอกาสไม่มากนักที่ผลการเลือกตั้งจะหนีไปจาก 2 รูปแบบนี้
หากดูจากโพลต่างๆ ที่เริ่มเผยแพร่กันออกมา ทั้งโพลเจ้าประจำ อย่าง "นิด้าโพล" ที่สำรวจอยู่เป็นระยะ และโพลเฉพาะกิจที่สำรวจทางออนไลน์บ้าง ทางโทรศัพท์บ้าง ของสื่อสารมวลชนสำนักต่างๆ
รวมถึง "เนชั่นโพล" ที่ได้ทำการแถลงผลสำรวจอย่างเป็นทางการครั้งแรกเมื่อวันที่ 18 เมษายน 2566 โดยเป็นการสำรวจแบบเคาะประตูบ้าน พบหน้ากันจริง นั่งคุยกันจริง จำนวน 40,000 กว่าตัวอย่างทั่วทั้งประเทศ แบ่งเป็น 8 ภูมิภาค บวกกับ กทม.ที่นับเป็นอีก 1 ภูมิภาค สำรวจทั้ง 33 เขต อ้างอิงพื้นที่จากข้อมูลแผนที่ล่าสุดของสำนักงานสถิติแห่งชาติ
ข้อมูลที่ได้มีบางส่วนที่แตกต่างจากโพลอื่นอย่างมีนัยสำคัญ กับอีกส่วนหนึ่งคือ "แนวโน้มของผลการเลือกตั้ง" ที่ค่อนข้างเป็นไปในทิศทางเดียวกันทุกโพล ก็คือ
หนึ่ง "พรรคเพื่อไทย"มาแรงในหลายพื้นที่
สอง "พรรคก้าวไกล"มาแรงอย่างน่ากลัวในพื้นที่เป้าหมายของ"เพื่อไทย"
สาม พรรคลุงตู่ (ขอใช้คำว่า"พรรคลุงตู่" เพราะปัจจัยสำคัญมาจากตัว พล.อ.ประยุทธ์) ครองความนิยมอย่างมากในพื้นที่ภาคใต้ตอนบนและตอนกลาง ที่ไม่ใช่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้
เมื่อนำข้อมูลของโพลต่างๆ มาสังเคราะห์ร่วมกับ "เนชั่นโพล" ที่แบ่งสำรวจรอบแรก เจาะเป็น 9 ภูมิภาค รวม กทม. จะพบทิศทางแบบนี้
หนึ่ง เพื่อไทยแลนด์สไลด์ (กวาดที่นั่ง ส.ส.เกินครึ่งหรือเกือบทั้งหมด) ในพื้นที่ภาคอีสานตอนบน และภาคเหนือตอนบน
สอง "ก้าวไกล"ตามติด"เพื่อไทย" แทบทุกพื้นที่ และมีลุ้นมากในพื้นที่เป้าหมายของ"เพื่อไทย"
สาม "ภูมิใจไทย"มาแรงและมีโอกาสคว้าชัยในพื้นที่อีสานตอนล่าง
สี่ ภาคใต้ตอนบนและตอนกลาง "พรรคลุงตู่" มาแรง และมีโอกาสมากที่สุดเมื่อเทียบกับพื้นที่อื่นๆ ทั้งประเทศ / แต่ต้องช่วงชิงกับประชาธิปัตย์
ห้า พื้นที่ช่วงชิงของ"ก้าวไกล"กับ"เพื่อไทย" คือ กทม. (สองพรรคนี้จะกวาดเก้าอี้ ส.ส.ส่วนใหญ่)
หก ภาคตะวันออกเป็นพื้นที่ช่วงชิงกัน 3 พรรค คือ "เพื่อไทย" "ก้าวไกล" และ"ประชาธิปัตย์"
เจ็ด พื้นที่ช่วงชิงของทุกพรรค ทั้งฝั่งอนุรักษ์นิยม และเสรีนิยม คือ ภาคตะวันตก ภาคกลาง และสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ เนื่องจากอัตราส่วนคนที่ยังไม่ตัดสินใจ หรือตัดสินใจไม่ได้ มีค่อนข้างสูง
จากทิศทางของโพลที่ออกมา วิเคราะห์ได้แบบนี้
1.พิจารณาจากพื้นที่ จำนวนจังหวัด เพื่อไทยยังไม่แลนด์สไลด์ เพราะพื้นที่ที่ชนะแน่ๆ รวมจำนวน ส.ส.ยังไม่ถึงครึ่งประเทศ (อีสานเหนือ กับเหนือตอนบน)
2."เพื่อไทย"จะแลนด์สไลด์ได้ ต้องเอาชนะ"ภูมิใจไทย"ในอีสานใต้ กวาดที่นั่งมากขึ้นในเหนือตอนล่าง และภาคกลาง ซึ่งคู่แข่งสำคัญคือ ภูมิใจไทย กับประชาธิปัตย์ , เอาชนะภาคตะวันออกแบบเด็ดขาด คู่แข่งสำคัญมีทั้งก้าวไกล ประชาธิปัตย์ และรวมไทยสร้างชาติ
3.พื้นที่ชี้ขาดคือ กทม. ฉะนั้นเพื่อไทยต้องกวาดที่นั่ง ส.ส.กรุงเทพฯให้ได้เกิน 20 ที่นั่ง (จาก 33 ที่นั่ง)
ก่อนหน้านี้ "ทีมข่าวเนชั่นทีวีออนไลน์" แง้มตัวเลขแนวโน้มผลการเลือกตั้งของ กทม. 33 เขต จึงขอขยายความเพิ่มเติม...
-"เพื่อไทย"มีโอกาสสูงที่จะชนะ 14 เขต
-มีลุ้น 9 เขต
จะเห็นได้ว่า ถ้าเขตที่ลุ้น ชนะได้ทั้งหมด จะได้ถึง 23 เขต แบบนี้จะยิ่งมีโอกาสแลนด์สไลด์
พื้นที่ที่มีลุ้น จะต้องเอาชนะให้ได้เป็นส่วนใหญ่ เพราะภาคใต้ 60 ที่นั่ง เพื่อไทยอาจไม่ได้เลย
4.วิเคราะห์ภาพรวม หากนับเฉพาะ ส.ส.เขต 400 ที่นั่ง หักภาคใต้ 60 ที่นั่ง จะเหลือ 340 ที่นั่ง ถ้าเพื่อไทยจะแลนด์สไลด์พรรคเดียวเกินครึ่ง ต้องได้ ส.ส.เขตอย่างน้อย 210-220 ที่นั่ง เพื่อนำมารวมกับปาร์ตี้ลิสต์ ประมาณ 30 - 40 ที่นั่ง ถึงจะแลนด์สไลด์เกินครึ่ง
นั่นหมายความว่า เพื่อไทยพลาดได้อีกแค่ 120 ที่นั่งจากทั้งประเทศ
สรุปคือไม่ง่าย แต่ดูจากกระแสก็มีความเป็นไปได้ เพราะ
-นโยบาย "แจกเงินหมื่น" โดนใจประชาชนจำนวนไม่น้อย
-ข้อพิสูจน์ความโดนใจ คือ คะแนนนิยมของพรรคพุ่งสูงขึ้นในช่วงที่ประกาศนโยบายนี้ ราวๆ วันที่ 5 เม.ย. หลังเปิดตัวแคนดิเดตนายกฯของพรรค และคะแนนนิยมของคุณเศรษฐา เพิ่มสูงขึ้นทันทีด้วย (สะท้อนจากโพลที่เก็บข้อมูลในช่วงนั้นพอดี และมองเห็นการเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน)
-นโยบายหลายข้อของ"เพื่อไทย" โดนใจกว่าพรรคอื่น รวมทั้ง"ก้าวไกล" ขณะที่นโยบายของ"ก้าวไกล"ที่โดดเด่นและแตกต่าง / ปัจจุบันนี้"เพื่อไทย"ประกาศว่าจะทำเหมือนกันทั้งหมดแล้ว เช่น ยกเลิกเกณฑ์ทหาร
-การที่เพื่อไทยมี "แคนดิเดต 3 คน" ซึ่งมีจุดเด่นคนละอย่าง กลายเป็นการเพิ่มคะแนนให้กับพรรค เห็นชัดจากการเปิดตัว"เศรษฐา" แล้วคะแนนนิยม"อุ๊งอิ๊งค์"ไม่ได้ตก (จุดแข็ง"อุ๊งอิ๊งค์" คือ สายเลือดชินวัตร) กลายเป็น"เศรษฐา"มาเติมคะแนนให้เพื่อไทย นอกเหนือจากที่ได้จาก"อุ๊งอิ๊งค์"
เพราะ"เศรษฐา"มีความโดดเด่นในมุมที่"อุ๊งอิ๊งค์"ไม่มี ทำให้ได้คะแนนก้อนใหม่ๆ เข้ามา เช่น คะแนนจากซีอีโอ คะแนนจากคนที่ทำธุรกิจ เพราะมองว่า"เศรษฐา" มีประสบการณ์ในการทำธุรกิจประสบความสำเร็จ และได้คะแนนจากคนรุ่นใหญ่ เนื่องจาก "เศรษฐา" มีวัยวุฒิสูง อายุ 60 ปีพอดี ทำให้น่าเชื่อถือว่า"อุ๊งอิ๊งค์" ในมุมมองของคนที่เป็นผู้ใหญ่
ก้างตำคอของเพื่อไทย ไม่ใช่พรรค 2 ลุง แต่เป็น "ก้าวไกล" เพื่อนร่วมฝ่ายค้าน หรือฝ่ายเสรีนิยมประชาธิปไตยด้วยกันนั่นเอง