“วราวุธ” ไม่ขอเทียบรุ่น “เศรษฐา”แต่พร้อมสู้ทุกสนาม ประกาศนโยบายสวล.

1 มีนาคม 2566 ที่โรงแรมอีสติน แกรนด์ สาทร กรุงเทพฯ พรรคชาติไทยพัฒนา นำโดย นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในฐานะหัวหน้าพรรค, นายกนก วงษ์ตระหง่าน กรรมการและเลขานุการคณะกรรมการนโยบายและยุทธศาสตร์พรรค, นายสันติ กีระนันทน์ กรรมการนโยบายและยุทธศาสตร์พรรค ร่วมแถลงนโยบายพรรคด้านสิ่งแวดล้อม “จากสิ่งแวดล้อมไทย สู่สิ่งแวดล้อมโลก ความมั่นคง โอกาส และคุณภาพชีวิตที่ดีของทุกคน”

นายวราวุธ กล่าวว่า พรรคชาติไทยพัฒนา ได้นำเสนอแนวนโยบาย “ว้าวไทยแลนด์” เน้นด้านสิ่งแวดล้อมเป็นหลัก ขับเคลื่อนประเทศไทยสู่การเป็น ศูนย์กลางการแลกเปลี่ยนประเทศไทยสู่การเป็นศูนย์กลางการแลกเปลี่ยนซื้อ-ขายคาร์บอนเครดิตแห่งภูมิภาคเอเชีย ประกอบด้วย การวัดประเมินและกำหนดเกณฑ์มาตรฐาน, การรับรองผลการตรวจ, ตลาดซื้อขายคาร์บอนเครดิต, การวิจัยและการพัฒนาเทคโนโลยีด้านคาร์บอนเครดิต และการสร้างเครือข่ายในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก

นโยบายดังกล่าวจะทําให้ประเทศไทย ได้รับการยอมรับในเวทีโลก เป็นจุดเชื่อมโยงด้านการส่งเสริมสิ่งแวดล้อม จากกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วในทวีปยุโรป ทวีปอเมริกา และกลุ่มประเทศเอเชียกลาง ซึ่งเป็นผู้ประกอบอุตสาหกรรมต่างๆ

ด้านนายกนก ระบุว่า ปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในประเทศไทย ปี 2019 คือ 372 ตัน ซึ่งเป็น Land Use, Land Use Change and Forestry (LULUCF) ตรึงสุทธิ 92 ล้านตัน ซึ่งการจะช่วยลดปริมาณก๊าซเรือนกระจกนั้น ต้องเร่งขยายการตรวจวัด Carbon Net ที่ได้มาตรฐาน รวดเร็ว แม่นยำให้ครอบคลุมพื้นที่ทั้งประเทศ กำหนดตำแหน่งของแปลงตรวจวัดอายุรายแปลงให้ได้มาตรฐานในระดับ Tier3, การบริหารจัดการไฟป่า ให้ประชาชนและชุมชนมีส่วนร่วมการแก้ปัญหาไฟป่า และได้รับประโยชน์จาก Carbon Credit จากป่า ส่งผลให้ลดปัญหาคุณภาพอากาศจากฝุ่น PM 2.5 ได้ รวมถึงการแก้ไขกฎเกณฑ์การใช้ Carbon Credit เพื่อการกีดกัยทางการค้าและสร้างความไม่เป็นธรรมให้แก่ประเทศ กำลังพัฒนา

ขณะที่นายสันติ กล่าวเสริมในประเด็นคาร์บอน เครดิต โทเค็น หรือ ซีซีที สามารถแสดงความเป็นเจ้าของ carbon credit ของแต่ละบุคคล ได้ผ่านสถานีตรวจวัดก๊าซเรือนกระจก หรือสถานีตรวจวัดจุลอุตุนิยมวิทยา นําข้อมูลเบื้องต้นมาคำนวณ carboncredit ตามมาตรฐานสากล ซึ่งเป็นสินทรัพย์ ที่สามารถซื้อขายเปลี่ยนมือได้ และมีมูลค่าการเก็บสะสม ซีซีที ของรายย่อยให้เป็นกลุ่ม ด้วยการรวมกลุ่มของประชาชน ที่ต้องขึ้นทะเบียนอย่างถูกต้อง

เพราะต้องการให้ทุกคนมีความมั่นคั่งเพิ่มขึ้น มีความเท่าเทียมกัน  สําหรับผู้ที่สามารถผลิต ซีซีที สามารถเก็บสะสม ไว้ใน แฟ้มสะสมผลงานส่วนบุคคล โดยหลังกระบวนการซื้อขาย ต้องมีกระบวนการส่งมอบและชำระราคา ผ่านสํานักหักบัญชี

“สิ่งที่กำลังทำนโยบายนี้ เป็นนโยบายที่ทำได้จริง ถ้าไม่มีการเผา ไม่มีฝุ่นละออง จะทำให้ ประชาชนมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยต้องลงทุนกับประมาณ 7,000-10,000 ล้านบาท เพื่อการวัด Carbon Net ในระดับ Tier 3 เพื่อสร้างมูลค่า มากกว่า 100,000 ล้านบาทต่อปี ท่ีจะเป็นรายได้ของประเทศและเกษตรกรไทย จะอีกกี่เลือกตั้ง กี่นายกรัฐมนตรี เราจะยืนอยู่ที่เดิม ตอบโจทย์ปัญหาความยั่งยืน ส่งผลกระทบตั้งแต่เกษตรกร และการค้า และอุตสาหกรรม” นายสันติ กล่าว

นายวราวุธ กล่าวเสริมว่า ยอมรับว่าแนวคิดเรื่องดังกล่าว ฟังแล้วอาจดูไกลตัว หรือเป็นเรื่องเพ้อฝัน แต่ยืนยันว่าพรรคชาติไทยพัฒนาเราทำได้จริง ก่อนยกตัวอย่างที่อำเภอเดิมบางนางบวช จังหวัดสุพรรณบุรี ที่กลุ่มเกษตรกรก้าวหน้าสามารถทำนารุ่นใหม่แบบเปียกสลับแห้ง แล้วขายคาร์บอนเครดิตให้กับชาวต่างชาติได้แล้ว

“การเลือกตั้งที่จะถึงนี้นโยบายที่ดี ไม่ใช่เพียงการแก้ปัญหาวันนี้ แล้วสร้างปัญหาให้วันข้างหน้า ต้องแก้วันนี้รวมไปถึงวันหน้าด้วยคู่ขนานกันไป นี่คือความคิดของพรรคชาติไทยพัฒนา เราตั้งใจนำเทคโนโลยีเข้ามาแก้ไขปัญหาให้ทุกคน ไม่ใช่เพียงเพื่อคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง รวมถึงต้องตอบโจทย์ปัญหาของโลกได้ ทำยังไงให้ประเทศไทยยืนอยู่ในเวทีโลกได้ และนี่คือนโยบายว้าวไทยแลนด์” นายวราวุธ กล่าว

ในช่วงถามตอบ นายวราวุธ ชี้แจงว่า ยังไม่ได้ พูดคุยกับพรรคการเมืองไหน ถึงนโยบายดังกล่าว เพราะนโยบายของพรรคยังคงเก็บไว้เป็นอาวุธของเรา ซึ่งนโยบายนี้ไม่ได้กำหนดว่าจะต้องมีกี่เสียง ไม่ได้ตั้งเป้าต้องอยู่กระทรวงใด แต่ยินดีให้พรรคอื่นเอาแนวนโยบายนี้ไปทำ แต่ถ้ามีโอกาสได้ทำงานร่วมกัน พรรคชาติไทยพัฒนา มองถึงการทำงานของประเทศ มองถึงประโยชน์ของเกษตรกร มากกว่าจะยึดเป็นนโยบายของพรรค เพราะเป็นการเมืองระบบเก่าเกินไป 

ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีที่พรรคเพื่อไทย เปิดตัว นายเศรษฐา ทวีสิน เป็นที่ปรึกษาหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย หัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา กล่าวว่า หากพูดถึงคะแนนของพรรคชาติไทยพัฒนา คงไปเทียบกับพรรคเพื่อไทยไม่ได้ “วราวุธอาจจะไม่ดังเท่าเศรษฐา แต่ได้คะแนนบ้างก็ดีใจแล้ว”

พร้อมย้ำว่าพื้นที่จังหวัดสุพรรณบุรี พรรคชาติไทยพัฒนาสู้เต็มที่ทั้ง 5 เขต เพราะเป็นบ้านของเรา แต่ก็ไม่ได้หวังแค่จังหวัดสุพรรณบุรี เราหวังในทุกพื้นที่ด้วย