24 ธันวาคม 2565 "นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์" เลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติ เปิดเผยผ่านเพจเดอะรูม 44 กรณี พล.อ.ประยุทธ์ จันโอชา นายกฯ ตอบรับเข้าร่วมงานทางการเมืองกับพรรครวมไทยสร้างชาติ ว่า เชื่อว่าจะมีนักการเมือง และผู้ที่สนใจร่วมทำงานเพื่อประเทศชาติล้านเมืองไหลมาร่วมกับพรรคเป็นจำนวนมาก
โดยมั่นใจว่า จะไม่เป็นปัญหาในการจัดสรรหน้าที่ความรับผิดชอบ เพราะโดยปกติความกังวลของพรรคที่ตั้งใหม่คือ จะไม่มีคนมาร่วมงานมากกว่า ดังนั้นยิ่งมากันเยอะก็ไม่เป็นไร มีวิธีบริหารจัดการให้ทุกคนมีบทบาทได้อย่างแน่นอน
“มากันมากแค่ไหน ก็รับได้แน่นอน ที่ผ่านมามีการพูดคุยกับ ส.ส.บิ๊กเนม แต่ละพื้นที่ตอบรับกันจำนวนหนึ่งอยู่แล้ว เมื่อ พล.อ.ประยุทธ์ ชัดเจน ก็จะมีคนไหลเข้ามาอีก ซึ่งเรามีวิธีบริหารจัดการอยู่แล้ว” นายเอกนัฏ กล่าว
ส่วนกระแสข่าวก่อนหน้านี้ที่ ระบุว่า จะมี ส.ส.ปัจจุบันเข้ามาร่วมงานกับพรรครวมไทยสร้างชาติประมาณ 40 คนนั้น นายเอกนัฏ กล่าวว่า คิดว่าไม่ได้คลาดเคลื่อนจากความจริงเท่าไร แต่อาจจะมากขึ้นก็ได้ อีกทั้งยังมีบิ๊กเนมที่ไม่ได้เป็น ส.ส. เช่น นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) หรือนักการเมืองท้องถิ่นที่มีแสงในตัวของจังหวัดต่างๆ
ทั้งนี้ บางพื้นที่ต้องยอมรับว่า มีโอกาสดีกว่า ส.ส.ปัจจุบันเสียอีก หากนับส่วนของคนที่มีศักยภาพก็คงมากกว่า 100 คน ทำให้มั่นใจได้ว่า เราจะมีผู้สมัครที่สู้ได้ในทุกภาค
เมื่อถามว่า ด้วยสถานการณ์ปัจจุบันได้ประเมินหรือไม่ว่า พรรครวมไทยสร้างชาติจะได้ ส.ส.ประมาณเท่าไร นายเอกนัฏ กล่าวว่า มีคนเคยถามว่า จะได้ ส.ส. เกิน 25 เสียงพอสำหรับการเสนอชื่อแคนดิเดตนายกฯในที่ประชุมรัฐสภาหรือไม่
“ผมยืนยันว่า เกินแน่นอน เพราะจากผลสำรวจแค่ภาคเดียวก็เกินแล้ว อย่างไรก็ดีจำนวนที่นั่ง ส.ส.ก็เป็นเรื่องหนึ่ง สิ่งสำคัญกว่า การเป็นพรรคการเมือง คือ ต้องทำประโยชน์ให้ประเทศ เป็นสถาบันการเมือง ไม่ใช่พรรคเฉพาะกิจ ใจผมหากได้แตะ 100 ที่นั่ง ก็เป็นเรื่องดี จะเป็นพรรคที่ใหญ่ที่สุด จะได้มีกำลังผลักดันสิ่งที่เราบอกประชาชนไว้” นายเอกณัฏ กล่าว
เมื่อถามว่า มั่นใจหรือไม่ว่าหลังการเลือกตั้งจะได้เป็นพรรคแกนนำจัดตั้งรัฐบาล นายเอกนัฏ กล่าวว่า การจะเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลต้องดูผลการเลือกตั้งก่อน แต่ถ้าวิเคราะห์จากสิ่งที่เกิดขึ้นหลังพล.อ.ประยุทธ์ ประกาศตัวชัดเจน และดูว่าที่ผู้สมัครทั่วประเทศ ถ้าทุกอย่างเป็นตามที่คาดการณ์ เราจะได้ ส.ส.ไม่น้อย มีโอกาสร่วมกับพรรคการเมืองอื่นจัดตั้งรัฐบาลได้
เมื่อถามถึงบทบาทของ พล.อ.ประยุทธ์ ในพรรครวมไทยสร้างชาติ นอกเหนือจากในส่วนแคนดิเดตนายกฯ นายเอกนัฏ กล่าวว่า เราคงต้องดำเนินการตามขั้นตอนก่อน คงเริ่มจากการเชิญ พล.อ.ประยุทธ์ มาเป็นสมาชิกพรรค เพื่อให้เกิดความชัดเจน จะได้ร่วมแคมเปญหาเสียงได้อย่างเต็มตัว ไม่ใช่เป็นแค่แคนดิเดตนายกฯลอยๆ เพราะที่ผ่านมาได้เห็นข้อจำกัดระหว่างพล.อ.ประยุทธ์ กับพรรคการเมืองที่สนับสนุน ครั้งนี้จึงอยากให้เกิดความชัดเจนที่สุด
ส่วนกรณีที่ พล.อ.ประยุทธ์ จะเป็นนายกฯได้เพียง 2 ปี ตามรัฐธรรมนูญ 2560 จะกระทบต่อการหาเสียงหรือไม่ นายเอกนัฏ กล่าวว่า ไม่เป็นปัญหาเลย คนดี 1 ปี 2 ปี หรือ 4 ปีมีค่าเท่ากันและถ้าดูตามหลักวิทยาศาสตร์คำนวนแล้วพล.อ.ประยุทธ์ จะเหลือเกินเวลา 2 ปีครึ่ง น่าจะเกินค่าเฉลี่ยรัฐบาลที่ผ่านๆมาของประเทศแล้ว และหากไปถึงจุดนั้นก็ไม่ได้แปลว่า ท่านจะไม่มีส่วนขับเคลื่อนประเทศ ยังเป็นกำลังสำคัญได้อยู่ ส่วนตำแหน่งนายกฯก็มีกลไก ถึงวันนั้นค่อยไปดูว่าใครเหมาะสม
“ไม่มีปัญหา ถ้าไม่พอใจก็ปรับใหม่ หรือหมดเวลาจะยุบสภาฯก็ทำได้ เวลา 2 ปีกว่าจะ 3 ปี ถือว่ามากเกินพอที่ พล.อ.ประยุทธ์ จะสานต่อภารกิจที่ค้างคา และต่อยอดวางรากฐานสำหรับการเปลี่ยนแปลงในอนาคต” เลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติ กล่าว
เมื่อถามอีกว่า ภายหลังเลือกตั้ง พรรครวมไทยสร้างชาติกับพลังประชารัฐ จะจับมือร่วมกันทำงานได้หรือไม่ นายเอกนัฏ กล่าวว่า ตนยังไม่เห็นว่าจะมีปัญหาอะไร เวลานี้แต่ละพรรคต้องเร่งแสดงจุดยืนของตัวเองแล้วไปแข่งขันในสนามเลือกตั้ง ได้ ส.ส.เท่าไรก็เป็นเรื่องอนาคต และก็มีขั้นตอนที่ต้องเจรจาในการจัดตั้งรัฐบาล ว่า จุดยืน หรือนโยบายตรงกันหรือไม่ เรื่องนี้ต้องว่าหลังเลือกตั้ง
ส่วนกรณีจะสามารถทำงานร่วมกับฝ่ายค้านในปัจจุบันได้หรือไม่ นายเอกนัฏ กล่าวว่า คนอาจมองว่า เราเป็นพรรคพันธมิตรประชาชน หรือเป็นพรรค กปปส. แต่ปัจจุบันในพรรคเราก็มีคนเสื้อแดงมาร่วมงานจำนวนมาก เราไม่ยึดติดความขัดแย้งในอดีต เราคิดว่าทุกคนที่มีแนวคิดตรงกันอยากเข้ามาทำการเมืองเพื่อส่วนรวม อยากทำการเมืองอย่างสุจริต สร้างพรรคการเมืองเป็นที่พึ่งของประชาชน ยึดมั่นในสถาบันหลักของชาติ ถ้าคิดแบบนี้ไปกันได้ แต่ถึงเวลานั้นก็ต้องมาทบทวนอีกทีว่าพรรคไหนคิดเหมือนเราหรือไม่
เมื่อถามย้ำว่า ไม่ปิดทางร่วมงานกับพรรคเพื่อไทยหรือพรรคอื่นๆใช่หรือไม่ นายเอกนัฏ กล่าวว่า “จะไปปิดทางกันเร็วแบบนี้ไม่ได้ ผมไม่อยากพูดไป เดี๋ยวหาว่า เราปฏิเสธคนนั้นคนนี้ วนเวียนอยู่กับความขัดแย้งอีก วันนี้เราต้องเดินไปข้างหน้า”