Highlights
--------------------
ความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศแลดูถึงทางตันแต่ระหว่างนั้นกระทรวงต่างประเทศไม่ได้อยู่ว่าง มีความพยายามขับเคลื่อนผลักดันพัฒนาความสัมพันธ์ตลอดมา แต่หลายอย่างดูไม่ราบรื่นจากการที่เราไม่สามารถตอบคำถามในการเสียชีวิตของนายอัลลูไวรี่ได้ ทำให้ต้องเกิดการรื้อคดีขึ้นมาสืบใหม่อยู่หลายครั้ง
เมื่อผลลัพธ์การดำเนินคดีออกมาไม่เป็นที่น่าพอใจการสานสัมพันธ์กันอีกครั้งจึงดูเป็นเรื่องยาก เป็นปัญหาเรื้อรังมายาวนานกระทั่งการเปลี่ยนถ่ายอำนาจกลุ่มผู้นำ พูดให้ถูกคือการโยกย้ายขั้วอำนาจภายในของซาอุดีอาระเบียเองที่เป็นจุดเปลี่ยน ช่วยฝ่าทางตันในอดีตให้กลับมาราบรื่นได้อีกครั้ง
ฟ้าใหม่กับการเปลี่ยนผ่านขั้วอำนาจ
ปฏิเสธไม่ได้ว่าสาเหตุสำคัญทำให้การสานสัมพันธ์ไทย-ซาอุดีอาระเบียกลับมาเกิดขึ้นได้จากการเปลี่ยนผ่านผู้กุมอำนาจ จากคนหน้าเดิมที่เคยหมางใจมาสู่คนรุ่นใหม่ขึ้นมาแทนที่ การขึ้นสู่อำนาจของ เจ้าชายมุฮัมมัด บิน ซัลมาน บิน อับดุลอะซีช อัลซะอูด มกุฎราชกุมาร, รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมถือเป็นปัจจัยสำคัญ
ด้วยเหตุขัดแย้งที่เกิดทั้งกรณีเครื่องเพชรหรือการตายของสมาชิกในราชวงศ์ ช่วงเวลาดังกล่าวพระองค์ทรงมีพระชันษาเพียง 4 ชันษา ประกอบกับเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นมายาวนาน ในสายตาคนรุ่นใหม่นี่จึงเป็นเรื่องที่เคยเกิดขึ้นในอดีต ไม่ได้ยึดติดทำให้ช่องทางการเจรจาเป็นไปได้ง่ายขึ้น
อีกทั้งแนวคิดของพระองค์ภายหลังก้าวขึ้นสู่อำนาจยังถือเป็นนักสร้างความเปลี่ยนแปลง ตั้งแต่วิสัยทัศน์ 2030 แนวคิดปฏิรูปเศรษฐกิจและสังคมครั้งใหญ่ เพื่อลดการพึ่งพาน้ำมันซึ่งเคยเป็นปัจจัยหลักในการสร้างรายได้ สร้างความหลากหลายทางเศรษฐกิจ นำมาสู่การเดินหน้าปฏิรูประบบการศึกษาและผ่อนปรนข้อบังคับจำนวนมาก
ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างแรกคือการผ่อนปรนกฎการควบคุมผู้หญิงมากขึ้น ให้ความสำคัญกับสิทธิสตรีภายในประเทศ โดยเฉพาะการอนุญาตให้เพศหญิงสามารถขับขี่รถยนต์ รวมถึงการดำเนินประเทศในทางมุสลิมสายกลาง หรือ Modern Islam มากขึ้น เริ่มมีการอนุโลมสื่อบันเทิงจำนวนมาก ทั้งโรงภาพยนตร์ ดนตรีสด รวมถึงการแสดงประเภทต่างๆ
อีกทั้งแนวคิดการสานสัมพันธ์ระหว่างไทย-ซาอุดีอาระเบียเองก็ไม่ใช่เรื่องที่เพิ่งเกิด นอกจากการดำเนินคดีให้นายอัลรูไวลี่ได้รับความเป็นธรรมแล้ว มีการติดต่อรื้อฟื้นความสัมพันธ์อย่างต่อเนื่อง เห็นได้ชัดจากช่วง การประชุมสุดยอดกรอบความร่วมมือเอเชีย(ACD) ครั้งที่ 2 ในวันที่ 8-10 ตุลาคม 2559 ที่รัฐมนตรีต่างประเทศซาอุดีอาระเบียเดินทางมาไทยและเริ่มหารือกับนายกรัฐมนตรี
ส่วนนี้ถือเป็นความสำเร็จจากทั้งนักการทูตไทย นักธุรกิจชาวซาอุดีอาระเบีย จนถึงสื่อกลางที่ช่วยประสานรอยร้าวอย่าง เจ้าชายเคาะลีฟะฮ์ บิน ซัลมาน อัลเคาะลีฟะฮ์ นายกรัฐมนตรีราชอาณาจักรบาห์เรนในขณะนั้น ที่เข้าร่วมการเจรจากลายเป็นการหารือสามฝ่าย ทำให้โอกาสในการพูดคุยกลับมา
เมื่อรวมกับแนวทางการปฏิรูปของเจ้าชายมุฮัมมัด บิน ซัลมาน สัมพันธ์ไมตรีครั้งใหม่จึงกลับมาเบ่งบานได้อีกครั้ง
สาเหตุในการฟื้นความสัมพันธ์ระหว่างประเทศกับแนวทางปฏิรูปซาอุดีอาระเบีย
แน่นอนว่าการสานสัมพันธ์แก่ประเทศที่เคยตัดขาดความเป็นพันธมิตรไม่ได้ไร้สาเหตุ ดังที่เกริ่นไปก่อนว่าอันที่จริงซาอุดีอาระเบียกำลังปฏิรูปประเทศสู่แนวทางใหม่ ด้วยวิสัยทัศน์ 2030 พระองค์ทรงตั้งใจลดบทบาทในการพึ่งพิงน้ำมันในระบบเศรษฐกิจ ด้วยความสั่นคลอนทางเสถียรภาพที่อาจทำให้ประเทศไม่มั่นคงอีกต่อไป
เห็นได้ชัดจากช่วงเวลาที่ราคาน้ำมันโลกมีความผันผวนและตกลงในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะการแพร่ระบาดของโควิด ที่ทำให้การออกเดินทาง ใช้ยานพาหนะ จนถึงการท่องเที่ยวดิ่งลงอย่างไม่เคยมีมาก่อน ส่งผลให้ราคาน้ำมันในปี 2020 ลดลงครึ่งหนึ่งจากช่วงเวลาก่อนการแพร่ระบาด รายได้ของรัฐบาลก็ลดลงไปกว่า 22% ถือเป็นเรื่องร้ายแรงยิ่ง
อีกทั้งว่ากระแสแนวโน้มโลกในปัจจุบันน้ำมันเริ่มถูกลดความสำคัญ การเผาไหม้น้ำมันและถ่านหินเริ่มถูกแทนที่ด้วยแนวทางการใช้พลังงานจากนโยบายสิ่งแวดล้อมหรือ Net Zero ที่ต้องการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้เหลือศูนย์ ที่หลายประเทศกำลังริเริ่มปรับตัวเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด
ปัญหาอยู่ตรงนี้เองรายได้และดุลการค้าของซาอุดีอาระเบียมาจากน้ำมัน เมื่อแนวโน้มน้ำมันในตลาดโลกนานเข้ายิ่งลดลงย่อมหมายถึงมูลค่าทางเศรษฐกิจที่ตกต่ำ นำไปสู่แนวคิดลดการพึ่งพาน้ำมัน หันไปสร้างรายได้ทางเศรษฐกิจด้วยแนวทางอื่น เป็นที่มาของความพยายามปฏิรูปหลากหลายรูปแบบที่เกิดขึ้นในประเทศ
ส่วนนี้สัมพันธ์กับนโยบายทางการทหารของพระองค์เอง ด้วยการทำสงครามกับเยเมนนับจากรับตำแหน่งในปี 2015 เป็นต้นมากลับไม่ได้มีความสำเร็จนัก เพราะไม่สามารถได้รับชัยชนะเด็ดขาดแต่กลับทำให้เกิดผู้เสียชีวิตจำนวนมากโดยเฉพาะการโจมตีทางอากาศ ในปี 2021 คาดว่ามีผู้เสียชีวิตแล้วกว่า 377,000 คน จนเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง
เมื่อรวมกับแนวทางการรวบอำนาจและปราบปรามผู้เห็นต่างทางการเมืองหลายรูปแบบ ตั้งแต่การกำจัดคู่แข่งทางการเมืองไปเป็นจำนวนมาก การปราบปรามขั้วอำนาจฝั่งตรงข้ามอย่างเด็ดขาด ไปจนการสังหารนักข่าวซาอุดีอาระเบียของ The Washington Post ในสถานกงสุลซาอุดีอาระเบียของตุรกี สิ่งเหล่านี้สร้างรอยด่างพร้อยให้ชื่อเสียงพระองค์บนเวทีโลก
ทั้งหมดทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างซาอุดีอาระเบียและชาติตะวันตกจึงเริ่มห่างเหิน ตรงข้ามกับความสัมพันธ์ในชาติฝั่งเอเชีย เมื่อไม่สามารถผูกไมตรีได้รับการสนับสนุนจากประเทศตะวันตกดังเดิม การสานสัมพันธ์ต่อประเทศในตะวันออกกลางด้วยกันก็ดูเป็นเรื่องยาก ความสนใจของพระองค์จึงย้ายมาสู่เอเชียแทน
ส่วนนี้เห็นได้ชัดด้วยความร่วมมือจากจีนในการยกระดับความร่วมมือการลงทุนมูลค่ากว่า 6.5 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 3 ล้านล้านบาท ครอบคลุมทุกภาคส่วนตั้งแต่ด้านพลังงานไปจนถึงโครงการอวกาศ อีกทั้งเริ่มมีการกระชับความสัมพันธ์กับเอเชียใต้ ทั้งเปิดรับแรงงานต่างชาติเข้ามารวมถึงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานในอินเดียและปากีสถานอีกด้วย
ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกเมื่อมีการฟื้นความสัมพันธ์กับประเทศไทยที่สามารถสร้างโอกาสและมูลค่าทางเศรษฐกิจได้
นอกจากนี้หากตามข่าวการเคลื่อนไหวแล้ว พระองค์ยังขยับขยายเพิ่มเติมจากการซื้อสโมสรฟุตบอล Newcastle เป็นจำนวนเงินกว่า 300 ล้านปอนด์ หรือราว 15,000 ล้านบาท, เป็นผู้สนับสนุนหลักของ Dota: Dragon's Blood อนิเมชั่น จากเกม DOTA2 ที่ออกฉายทาง Netflix รวมถึง Savvy Gaming Group หน่วยงานเกมที่ได้รับการสนับสนุนโดยกองทุนเพื่อการลงทุนสาธารณะของซาอุดีอาระเบีย(PIF) ที่เข้าซื้อกิจการ ESL และ FACEIT บริษัทจัดแข่ง E-sports ชื่อดังอีกด้วย
การเข้าซื้อและถือหุ้นในบริษัทชื่อดังมากมายในหลายประเทศ นอกจากเพื่อการลงทุนแล้วอีกสิ่งที่สามารถทำได้เช่นกันคือ การผลักดัน Soft power หรือการเผยแพร่ภาพลักษณ์วัฒนธรรมของประเทศผ่าสื่อรูปแบบต่างๆ โดยการเข้าไปมีอิทธิพลในสื่อหลากหลายประเภท แม้ต้องยอมรับว่าสิ่งเหล่านี้ส่วนหนึ่งเกิดจากความชื่นชอบส่วนพระองค์ แต่ก็น่าสนใจว่าในอนาคตซาอุดีอาระเบียจะออกมาในทิศทางเช่นไร
ความสำคัญของการฟื้นสายสัมพันธ์ แนวทางกระตุ้นเศรษฐกิจที่อาจช่วยพลิกฟื้นประเทศ
ความร่วมมือของสองชาติสร้างโอกาสให้แก่ประเทศหลายรูปแบบ จากการหารือที่พูดถึงกรอบความร่วมมือในหลายด้าน เริ่มจากวิสัยทัศน์ 2030 ที่เพิ่มการลงทุนเป็นจำนวนมาก ทำให้ซาอุดีอาระเบียต้องการแรงงานเข้าสู่ระบบ โดยตั้งเป้าว่าจะนำเข้าแรงงานกว่า 8 ล้านคนจากหลายประเทศ เพิ่มช่องทางให้แก่แรงงานไทยได้อีกนับแสนในอนาคต
ปัจจุบันแรงงานที่ทำงานในซาอุดีอาระเบียมีอยู่ราว 10,000 คนซึ่งถือว่าน้อยมาก เมื่อเทียบกับช่วงก่อนการลดความสัมพันธ์มีแรงงานไทยในซาอุดีอาระเบียมากกว่า 200,000 คน หากสามารถเพิ่มจำนวนในส่วนนี้ให้กลับมาดังเดิม จะสามารถสร้างงานให้แก่คนในประเทศได้นับแสนตำแหน่ง ลดปัญหาจำนวนคนว่างงานจากปัญหาเศรษฐกิจตกต่ำภายในประเทศ
เช่นเดียวกับในด้านการท่องเที่ยว ชาวซาอุดีอาระเบียที่เดินทางเข้ามาในประเทศช่วงปี 2562 มีเพียง 36,000 คน การกระชับความสัมพันธ์และยกเลิกวีซ่าจะช่วยให้นักท่องเที่ยวเข้ามาในประเทศเพิ่มขึ้น โดยคาดการณ์ว่าจะมีนักท่องเที่ยวหลั่งไหลเข้ามาหลังจากนี้อีกมากกว่า 150,000 คน ช่วยผลักดันเม็ดเงินให้หลั่งไหลเข้ามาในประเทศได้อีกเป็นจำนวนมาก
ส่วนนี้สามารถสังเกตได้จากสายการบิน Saudia สายการบินแห่งชาติของซาอุดีอาระเบีย ภายหลังการเจรจาได้ประกาศผ่านสื่อออนไลน์ว่า สายการบินจะเริ่มกลับมาให้บริการเที่ยวบินตรงระหว่างซาอุดีอาระเบียและไทยตั้งแต่เดือนพฤษภาคมเป็นต้นไป ภายหลังเส้นทางนี้ถูกยุติให้บริการเป็นเวลาถึง 30 ปี
การกลับมาเชื่อมความสัมพันธ์ในครั้งนี้จะช่วยให้ซาอุดีอาระเบียดำเนินธุรกิจในไทยได้ง่ายขึ้น เหมือนที่ทำทั้งในอินเดียและปากีสถานที่ผ่านมา เช่นเดียวกับธุรกิจหลายประเภทในไทยที่มีโอกาสขยับขยายตลาดไปหาผู้บริโภคใหม่ๆ โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจอาหาร สินค้าเกษตร เครื่องประดับ ไปจนถึงสินค้าอุตสาหกรรม ซึ่งอาจช่วยเพิ่มปริมาณการค้าของไทยจาก 4.5 หมื่นล้านบาทให้ไปถึง 1.5 แสนล้านบาทเหมือนในปี 2532 เลยทีเดียว
นอกจากนี้ยังอาจขยับขยายข้อตกลงเพิ่มเติมในด้านน้ำมันดิบ จากการที่ราคาน้ำมันในตลาดโลกมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ การผูกมิตรกับซาอุดีอาระเบียที่ถือเป็นประเทศส่งออกน้ำมันรายใหญ่ของโลก อาจมีลู่ทางช่วยบรรเทาปัญหาราคาน้ำมันได้มากขึ้น ช่วยลดกระทบด้านราคาพลังงานที่เกิดขึ้นในอนาคตได้อีกด้วย
แน่นอนทั้งหมดที่ว่าเป็นเพียงคาดการณ์ไม่อาจทราบได้ว่าความร่วมมือครั้งนี้จะเป็นเช่นไร เนื่องจากการฟื้นความสัมพันธ์เพิ่งเริ่มต้น จำเป็นต้องผ่านการหารือและมาตรการรองรับอีกหลายด้าน แต่อย่างน้อยนี่ก็เป็นช่องทางเพิ่มเติมในการสร้างรายได้ของประเทศ เป็นลู่ทางใหม่ช่วยให้ผู้คนหายใจหายคอได้คล่องขึ้น
แม้จะไม่รู้อาจทราบว่าความร่วมมือในครั้งนี้จะเพียงพอช่วยผลักดันและฟื้นฟูเศรษฐกิจให้ประเทศหรือไม่ก็ตาม
-------------------
ที่มา