
KEY
POINTS
นาทีนี้คงไม่มีคู่นักแบดมินตันไทยคนใดที่ร้อนแรงและถูกพูดถึงมากไปกว่า "บาส" เดชาพล พัววรานุเคราะห์ กับ "เฟม" ศุภิสรา เพียวสามพราน ซึ่งกวาดแชมป์ BWF World Tour ได้ถึง 6 รายการนับตั้งแต่จับคู่กันเมื่อปลายปี 2567 จนถึงเดือนกันยายน 2568 ความสำเร็จที่น่าทึ่งในระยะเวลาอันสั้นนี้ไม่ได้เกิดขึ้นโดยบังเอิญ แต่มาจากหลายปัจจัยสำคัญที่ผสมผสานกันอย่างลงตัว
ทั้ง บาส และ เฟม ต่างก็เป็นนักกีฬาในสังกัด เอสซีจี แบดมินตัน อะคาเดมี่ มาอย่างยาวนาน ทำให้ทั้งคู่มีโอกาสฝึกซ้อมร่วมกันทุกวันมานานกว่า 8 ปี แม้จะอยู่คนละฝั่งสนาม แต่การได้เห็นสไตล์การเล่นและจุดเด่นของกันและกันเป็นประจำทุกวัน ทำให้พวกเขาปรับตัวเข้าหากันได้อย่างรวดเร็วเป็นพิเศษ
ขณะเดียวกัน จากหลังจบโอลิมปิก 2024 วงการแบดมินตันคู่ผสมได้เข้าสู่ช่วง "ผลัดใบ" เมื่อคู่ระดับท็อปของโลกหลายคู่ได้แยกทางกัน เช่น เจิ้ง ซือ เว่ย/หวง หย่าฉง จากจีน และ ยูตะ วาตานาเบะ/อาริสะ ฮิกาชิโนะ จากญี่ปุ่น ซึ่งการขาดหายไปของคู่ระดับพระกาฬเหล่านี้ ทำให้เส้นทางของนักแบดคนอื่นๆ ไม่ต้องเผชิญหน้ากับความยากลำบากเท่าที่ควร
การตัดสินใจให้ บาส-เฟม เริ่มต้นใหม่ในช่วงเวลานี้ จึงช่วยลดภาระความยากลำบากในการแข่งขันได้มาก และทำให้ทั้งคู่มีโอกาสไต่อันดับโลกจากอันดับที่ 307 ขึ้นมาได้อย่างรวดเร็ว
และเพียงไม่นานหลังจากการรวมตัว "บาส-เฟม" ก็สามารถสร้างผลงานที่น่าประทับใจได้ทันทีด้วยการคว้าแชมป์แรกในรายการ คุมาโมโตะ มาสเตอร์ส เจแปน (Super 500) ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณที่ชัดเจนว่าพวกเขาพร้อมแล้วสำหรับเวทีโลก
หลังจากคว้าแชมป์แรกที่ญี่ปุ่น "บาส-เฟม" ได้ตอกย้ำความสำเร็จอีกครั้งด้วยการคว้าแชมป์ ไซเยด โมดี้ อินเดีย อินเตอร์เนชันแนล (Super 300) ในเดือนธันวาคม 2567 ความสำเร็จที่ต่อเนื่องนี้ทำให้พวกเขาเป็นที่จับตามองในทันที และเป็นรากฐานที่แข็งแกร่งสำหรับการก้าวขึ้นไปสู่ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่กว่าในปีถัดไป
ในปี พ.ศ. 2568 เส้นทางของทั้งคู่ก็ยิ่งน่าทึ่งขึ้นไปอีก โดยเริ่มต้นด้วยการคว้าแชมป์รายการใหญ่ระดับ Super 1000 ได้เป็นครั้งแรกที่รายการ มาเลเซีย โอเพ่น ซึ่งเป็นการเอาชนะคู่มือ 1 ของโลกในขณะนั้นอย่าง เฝิง เยี่ยนเจ๋อ และ หวง ตงผิง จากจีนได้อย่างเด็ดขาด ชัยชนะนี้ไม่เพียงแค่ทำให้พวกเขาได้รับคะแนนสะสมมหาศาล แต่ยังเป็นการสร้างความได้เปรียบทางจิตวิทยาเหนือคู่แข่งที่ทรงอิทธิพลที่สุดในโลกอีกด้วย
ต่อจากนั้น พวกเขายังคงทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม โดยคว้าแชมป์อีก 3 รายการ ได้แก่ ไทยแลนด์ มาสเตอร์ส (Super 300), สิงคโปร์ โอเพ่น (Super 750) และรายการที่สำคัญที่สุดอย่าง หลี่-หนิง ไชน่า มาสเตอร์ส (Super 750) ซึ่งเป็นรายการที่ 6 ที่คว้าแชมป์ในเวลาไม่ถึงหนึ่งปีของการจับคู่กัน
วันที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2568 ถือเป็นวันประวัติศาสตร์ของวงการแบดมินตันไทย เมื่อ "บาส-เฟม" สร้างปรากฏการณ์ด้วยการคว้าแชมป์ หลี่-หนิง ไชน่า มาสเตอร์ส ได้สำเร็จเป็นครั้งแรกของนักแบดมินตันจากนอกประเทศจีน นับตั้งแต่มีการจัดทัวร์นาเมนต์นี้ในปี 2548 ชัยชนะในรอบชิงชนะเลิศที่เอาชนะคู่แชมป์โลกจากมาเลเซีย เฉิน ตัง เจี๋ย และ โต๊ะ อี้ เว่ย ไปอย่างรวดเร็วด้วยสกอร์ 21-8, 21-17 ในเวลาเพียง 35 นาที เป็นการส่งสัญญาณที่ชัดเจนว่าพวกเขาคือผู้นำตัวจริงในวงการคู่ผสมระดับโลก
ความสำเร็จของ "บาส-เฟม" ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นผลมาจากความสามารถที่แท้จริง การประสานงานที่เป็นเลิศ และการทำผลงานในระดับสูงได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งทำให้พวกเขาได้รับความสนใจและการชื่นชมจากสื่อต่างประเทศและคู่แข่งระดับโลกที่ยอมรับว่าทั้งคู่เป็นคู่ที่แข็งแกร่งและอันตรายอย่างยิ่ง
ด้วยผลงานที่โดดเด่นและอันดับโลกที่กำลังไต่ขึ้นไปเรื่อยๆ เป้าหมายต่อไปของ "บาส-เฟม" คือการก้าวขึ้นสู่ตำแหน่ง คู่ผสมมือ 1 ของโลก อย่างเต็มตัว ความท้าทายในอนาคตคือการรักษาความสม่ำเสมอในฟอร์มการเล่นและสภาพร่างกาย แต่จากสิ่งที่พวกเขาได้แสดงให้เห็นแล้วตลอดเส้นทางที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นความยืดหยุ่นทางจิตใจหรือความสามารถในการเรียนรู้และปรับปรุงตัวเองอย่างไม่หยุดยั้ง ทุกองค์ประกอบเหล่านี้บ่งชี้ว่าพวกเขามีศักยภาพที่จะไม่เพียงแค่ก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุด แต่ยังสามารถครองตำแหน่งนั้นได้อย่างยาวนานอีกด้วย
---------
เครดิตภาพ: BADMINTON PHOTO