แม้ฤดูกาลในพรีเมียร์ลีกจะเลวร้ายถึงขั้นรั้งอันดับ 17 ของตาราง แต่ “ไก่เดือยทอง” ยังมีลุ้นคว้าแชมป์ยุโรปเป็นครั้งแรกในรอบ 41 ปี หากเอาชนะปีศาจแดงได้สำเร็จ
สเปอร์สเคยคว้าแชมป์ยูฟ่า คัพ (ชื่อเดิมของยูโรปาลีก) มาแล้ว 2 ครั้งในปี 1972 และ 1984 หากชนะอีกครั้งจะกลายเป็นทีมอังกฤษทีมที่สองต่อจากลิเวอร์พูลที่คว้าแชมป์รายการนี้ 3 สมัย
เส้นทางของพวกเขาฤดูกาลนี้ผ่านทั้ง อาแซด อัล์คมาร์, ไอน์ทรัค แฟรงค์เฟิร์ต และล่าสุด โบโด/กลิมท์ ด้วยสกอร์รวม 5-1 โดย โดมินิก โซลันกี้ ยิงประตูได้ทั้งสองนัด
แม้สเปอร์สจะคว้าชัยในยูโรปาลีกไปถึง 9 จาก 14 นัด ซึ่งเป็นสถิติสูงสุดของสโมสรในเวทียุโรป แต่ในพรีเมียร์ลีกกลับแพ้ไปถึง 21 นัด และเพิ่งพ่ายแอสตัน วิลล่า 0-2 เมื่อสัปดาห์ก่อน
อย่างไรก็ตาม พวกเขามีสถิติดีกับแมนฯ ยูไนเต็ดในซีซั่นนี้ โดยเอาชนะได้ทั้ง 3 ครั้งที่พบกัน
สำหรับ “ปีศาจแดง” การคว้าแชมป์ยูโรปาลีกครั้งนี้ไม่ใช่แค่เพื่อศักดิ์ศรี แต่ยังหมายถึงโควตาแชมเปียนส์ลีกฤดูกาลหน้า ซึ่งจะช่วยพลิกวิกฤตการเงินและภาพลักษณ์ของสโมสรที่หล่นไปถึงอันดับ 16 ของลีก
ยูไนเต็ดเคยคว้าแชมป์ยูโรปาลีกในปี 2017 และเข้าชิงอีกครั้งในปี 2021 ก่อนพ่ายจุดโทษต่อบียาร์เรอัล คราวนี้พวกเขาผ่านรอบรองชนะเลิศด้วยการดับฝันแอธเลติก บิลเบา เจ้าภาพ ด้วยสกอร์รวม 7-1
ก่อนหน้านั้น พวกเขาต้องลุ้นระทึกกับโอลิมปิก ลียง จนถึงช่วงต่อเวลาพิเศษ ก่อนจะเฉือนชนะด้วยสกอร์รวม 7-6 โดย แฮร์รี แม็กไกวร์ สวมบทฮีโร่
ยูไนเต็ดทำไปแล้ว 35 ประตูในทัวร์นาเมนต์นี้ เป็นรองแค่สามทีมในประวัติศาสตร์รายการเดียวกัน ขณะที่ บรูโน่ แฟร์นันด์ส ทำไปแล้ว 7 ประตู และมีส่วนร่วมในประตูรวม 11 ลูก
หากคว้าแชมป์ได้ รูเบน อโมริม จะกลายเป็นผู้จัดการทีมคนที่สามในประวัติศาสตร์ของแมนฯ ยูไนเต็ด ที่คว้าแชมป์ได้ตั้งแต่ฤดูกาลแรก ต่อจาก โชเซ่ มูรินโญ่ และ เอริก เทน ฮาก
ในเกมพรีเมียร์ลีกเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา รูเบน อโมริม กุนซือแมนฯ ยูไนเต็ด เลือกส่งผู้เล่นตัวหลักลงสนามเพื่อรักษาความฟิต แต่ทางฝั่ง อังเก้ ปอสเตโคกลู ของสเปอร์สกลับเลือกพักแข้งตัวจริงหลายรายในเกมที่พบกับแอสตัน วิลล่า
แม้ว่า อันโตนิน คินสกี้ จะโชว์ฟอร์มได้น่าประทับใจในเกมดังกล่าว แต่เขาจะหลีกทางให้ กูเยลโม่ วิคาริโอ กลับมาเฝ้าเสาอีกครั้ง เช่นเดียวกับ โรดริโก้ เบนตานกูร์, โดมินิก โซลันกี, เบรนแนน จอห์นสัน และเปโดร ปอร์โร ที่เตรียมกลับมามีชื่อเป็นตัวจริง
ซน ฮึง-มิน กัปตันทีม ลงสนามเป็นตัวจริงเป็นนัดแรกหลังหายเจ็บเท้า และมีลุ้นได้ออกสตาร์ทอีกครั้งในเกมชิงชนะเลิศ ขณะที่ เดยัน คูลูเซฟสกี้, เจมส์ แมดดิสัน, ลูคัส เบิร์กวัลล์, ติโม แวร์เนอร์ และราดู ดรากูซิน จะพลาดลงสนามแน่นอน
โดยมี ซน ฮึง-มิน คอยสนับสนุน โดมินิก โซลันกี ที่น่าจะยืนเป็นหน้าเป้า หลังเจ้าตัวทำไปแล้ว 5 ประตูกับ 4 แอสซิสต์ในยูโรปาลีกฤดูกาลนี้ และยิงได้ในทุกเกมจาก 4 นัดหลังสุดที่เจอกับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
ในขณะที่ บรูโน่ แฟร์นันด์ส กัปตันทีมปีศาจแดง ขึ้นนำดาวซัลโวร่วมของรายการ ด้วยผลงาน 7 ประตู ส่วน ราสมุส ฮอยลุนด์ ก็เป็นหนึ่งในผู้เล่นอีกหลายคนที่ยิงได้ 6 ลูก
เฉพาะในยูโรปาลีกฤดูกาลนี้ มีเพียง รายาน แชร์กี้ ของลียง (12 ประตู+แอสซิสต์) ที่มีส่วนร่วมกับประตูมากกว่า บรูโน่ (11) โดยมีแค่ โอลิวิเย่ร์ ชิรูด์ กับเชลซีเมื่อฤดูกาล 2018-19 เท่านั้นที่ทำได้มากกว่าในหนึ่งฤดูกาลกับสโมสรอังกฤษ (15)
เพื่อเพิ่มมิติในเกมรุก ยูไนเต็ดจะได้ เมสัน เมาท์ และ อาหมัด ดิยัลโล กลับมามีส่วนร่วม หลังทั้งคู่โชว์ผลงานได้ดีในเกมรอบรองฯ เลกสองที่ชนะ แอธเลติก บิลเบา อย่างไรก็ตาม มัทไธส์ เดอ ลิกต์ ยังต้องลุ้นความฟิต ส่วน เลนี่ โยโร, โจชัว เซิร์คซี และดิโอโก้ ดาโลต์ เพิ่งหายเจ็บกลับมา ขณะที่ ลิซานโดร มาร์ติเนซ จะหมดสิทธิ์ใช้งานจนจบฤดูกาล
...
นี่คือศึกที่ไม่เพียงชี้ชะตาแชมป์ยุโรป แต่ยังชี้อนาคตของทั้งสองสโมสร ไม่ว่าผลจะเป็นเช่นไร คืนวันพุธที่ซาน มาเมส จะเป็นหนึ่งในเกมที่แฟนบอลไม่มีวันลืม