
ในโลกของ บาสเกตบอล NBA ศึกยัดห่วงอาชีพที่เข้มข้นและเต็มไปด้วยความกดดันมากที่สุดในโลก แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะมีนักกีฬาคนใดสามารถยืนระยะอยู่ในระดับท็อปของวงการได้อย่างยาวนานกว่า 20 ปี เพราะเพียงแค่การรักษาอาชีพของตัวเองไว้ให้ได้นานๆก็เป็นเรื่องที่ยากมากแล้ว เพราะนี่คือลีกกีฬาที่มีเกมให้ลงสนามไม่ต่ำกว่า 80 เกมต่อปี นักบาสเกตบอลแต่ละคนต้องกรำศึกหนักทุกสัปดาห์ตลอดทั้งซีซั่น ด้วยเหตุนี้ ค่าเฉลี่ยของนักบาสแต่ละคนที่ได้เล่นใน NBA จึงอยู่ที่ไม่ถึง 5 ปีเท่านั้น
แต่ชื่อของ "เลอบรอน เจมส์" คือข้อยกเว้น
เพราะไม่เพียงแต่เจ้าตัวจะยืนระยะได้ยาวนานจนเข้าสู่ฤดูกาลที่ 21 ในปัจจุบันเท่านั้น แต่เขายังทำผลงานได้อย่างสม่ำเสมอ และอยู่ในระดับแนวหน้าของวงการตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้
และล่าสุด เลอบรอน เจมส์ ก็เพิ่งจะสร้างประวัติศาสตร์เป็นนักบาสคนแรกที่ทำสกอร์ตลอดอาชีพทะลุหลัก 40,000 แต้ม ด้วยการลอยตัวขึ้นเลย์อัพด้วยมือซ้าย ในควอเตอร์ที่ 2 ของเกมที่ต้นสังกัด แอลเอ เลเกอร์ส แพ้ เดนเวอร์ นักเกตส์ 114-124
นั่นหมายความว่าหากจะมีนักบาสคนใดต้องการโค่นสถิติอันเหลือเชื่อนี้ ผู้เล่นคนนั้นจะต้องทำเฉลี่ย 30 แต้มต่อเกมอย่างสม่ำเสมอเป็นเวลา 20 ปี และต้องเล่นเฉลี่ยฤดูกาลละ 67 เกมทีเดียว
ฉายแววอัจฉริยะ
เพียงแค่เด็กสักคนจะเป็นเลิศในกีฬาประเภทใดประเภทหนึ่งก็เป็นเรื่องที่ยากมากแล้ว แต่ เลอบรอน เจมส์ กลับทำได้ดีทั้งการเล่นบาสเกตบอลและอเมริกันฟุตบอล ด้วยส่วนสูงที่มากกว่า 2 เมตร ร่างกายที่แข็งแกร่ง แต่ก็มีความปราดเปรียวเหนือใคร
โดยในช่วงไฮสคูล เลอบรอน เจมส์ เป็นนักกีฬาตัวหลักของโรงเรียนทั้งบาสเกตบอลและอเมริกันฟุตบอล ในส่วนของกีฬายัดห่วง เขาพาทีมคว้าแชมป์รัฐโอไฮโอได้ 3 ปีติดต่อกัน ขณะที่ในกีฬาอเมริกันฟุตบอล เขาก็มีชื่อติดทีมออลสตาร์ของรัฐ 2 ปีติด แต่เมื่อถึงช่วงก่อนจบการศึกษา ที่เจ้าตัวจำเป็นต้องเลือกเส้นทางอาชีพของตัวเอง สุดท้าย เลอบรอน เจมส์ ก็ตัดสินใจเลือกเล่นบาสเกตบอลเพียงอย่างเดียว ด้วยเห็นว่า อเมริกันฟุตบอล เป็นกีฬาที่เสี่ยงต่อการบาดเจ็บมากเกินไป และอาจหมดอนาคตในวงการได้ง่ายๆหากเจ็บหนักขึ้นมาสักครั้ง
เมื่อโฟกัสกับบาสเกตบอลอย่างเดียว เลอบรอน ก็ยิ่งโชว์ฟอร์มได้ดีขึ้นไปอีก ถึงขั้นที่แบรนด์กีฬาดังอย่าง "ไนกี้" ยอมทุ่มเงินมหาศาล 100 ล้านดอลลาร์ เป็นสปอนเซอร์ให้เจ้าตัวตั้งแต่ยังเรียนไม่จบ ม.ปลายด้วยซ้ำ
จากนั้น เลอบรอน เจมส์ ก็ตัดสินใจเข้าสู่การดราฟต์ของ NBA ทันทีหลังจบมัธยมโดยไม่เข้ามหาวิทยาลัย และสุดท้ายก็เป็น คลีฟแลนด์ คาวาเลียร์ส ทีมจากรัฐบ้านเกิดที่ได้สิทธิ์ดราฟต์เบอร์ 1 ในปี 2003 ก็จัดการคว้าตัวไปร่วมทีม ท่ามกลางความยินดีปรีดาจากแฟนๆ
กระแสของ เลอบรอน เจมส์ ฟีเวอร์ตั้งแต่ยังไม่เริ่มซีซั่น เสื้อหมายเลข 23 ของเจ้าตัวขายดีเป็นเทน้ำเทท่า และเขาก็ตอบแทนต้นสังกัดด้วยการทำผลงานอย่างร้อนแรงตั้งแต่ซีซั่นแรก ช่วยทีมเพิ่มอัตราการชนะเป็นสองเท่า ก่อนคว้ารางวัล Rookie of the Year (ผู้เล่นหน้าใหม่ยอดเยี่ยมแห่งปี) มาครองได้สำเร็จ
คลีฟแลนด์ คาวาเลียร์ส ค่อยๆสร้างทีมโดยมี เลอบรอน เจมส์ เป็นศูนย์กลาง จนกระทั่งเข้ารอบชิง NBA ได้สำเร็จในซีซั่น 2006-07 แต่สุดท้ายก็ต้องอกหักหลังโดน ซาน อันโตนิโอ สเปอร์ส ถล่มขาดลอย 4-0 เกมซีรี่ส์
จากนั้น แม้ เลอบรอน จะรักษามาตรฐานการเล่นที่ยอดเยี่ยมของตัวเองไว้ได้ แต่ "แคฟส์" ก็ไม่เคยเฉียดใกล้กับการคว้าแชมป์ NBA ได้อีกเลย นั่นทำให้เจ้าตัวต้องตัดสินใจครั้งใหญ่เพื่อโอกาสในการคว้าแชมป์แรกในชีวิต
จากฮีโร่สู่ "คนทรยศ"
ปฏิเสธไม่ได้ว่า ชิคาโก้ บูลส์ ในยุครุ่งเรือง ประสบความสำเร็จได้เพราะมี ไมเคิ่ล จอร์แดน เป็นตัวชูโรง โดยมี สก็อตตี้ พิพเพ่น กับ เดนนิส ร็อดแมน เป็นผู้ช่วย
แต่ คลีฟแลนด์ คาวาเลียร์ส มีเพียง เลอบรอน เจมส์ ที่ต้องแบกทีมอยู่คนเดียวตลอด 7 ปีเต็ม นั่นทำให้ทีมไม่สามารถก้าวสู่ความสำเร็จได้ สุดท้ายเจ้าตัวก็ต้องเลือกที่จะเปลี่ยนแปลง
โดยหลังจบฤดูกาล 2009-10 เลอบรอนหมดสัญญากลายเป็นฟรีเอเยนต์ แฟนๆต่างเชื่อว่าเขาจะเซ็นสัญญาฉบับใหม่เพื่ออยู่ที่คลีฟแลนด์ต่อไป แต่สุดท้าย เจ้าตัวกลับเลือกที่จะย้ายไปเล่นให้ ไมอามี่ ฮีท เพื่อไปผนึกกำลังกับสองซูเปอร์สตาร์อย่าง ดเวย์น เวด และ คริส บอช ในภารกิจล่าแชมป์ NBA ให้ได้
การตัดสินใจดังกล่าวทำเอาแฟนๆคลีฟแลนด์ คาวาเลียร์ส เดือดดาลอย่างหนัก เสื้อหมายเลข 23 ของเจ้าตัวโดนเผาทั่วทุกมุมเมือง ชื่อของ เลอบรอน เจมส์ กลายเป็นนักกีฬาที่ถูกเกลียดชังมากที่สุดในโลกเพียงชั่วข้ามคืน
แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าหากมองในแง่ของกีฬาอย่างเดียว การตัดสินใจครั้งนั้นของ เลอบรอน ถือเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง เพราะสามประสาน "บิ๊กทรี" ของไมอามี่ ฮีท ช่วยกันพาทีมเข้าชิง 4 ปีติด และคว้าแชมป์ NBA ได้ 2 ปีติดต่อกัน
ผู้กอบกู้
หลังจบ 4 ปีกับไมอามี่ ฮีท เลอบรอน เจมส์ ที่หมดสัญญากลายเป็นฟรีเอเยนต์ ก็ตัดสินใจครั้งสำคัญอีกครั้ง ด้วยการเลือกย้ายกลับไปเล่นให้ คลีฟแลนด์ คาวาเลียร์ส โดยให้เหตุผลว่า ต้องการกลับไปสานต่อภารกิจเดิมที่ยังทำไม่สำเร็จ นั่นคือการพา แคฟส์ คว้าแชมป์ NBA ให้ได้
แคฟส์ ค่อยๆสร้างทีมขึ้นมาใหม่อีกครั้ง ด้วยการไปดึงตัว เควิน เลิฟ กับ เจอาร์ สมิธ มาร่วมทีม รวมถึงการต่อสัญญากับ ไครี่ เออร์ลิ่ง ออกไป เมื่อบวกกับความสามารถของ เลอบรอน เจมส์ ก็ยิ่งทำให้ทีมแข็งแกร่งมากขึ้นไปอีก จนทำท่าว่า แชมป์ NBA อย่างที่ทุกคนฝันไว้อาจจะไม่ไกลเกินเอื้อม
และในฤดูกาล 2015-16 ความฝันดังกล่าวก็ประสบผลสำเร็จ เมื่อ เลอบรอน นำทีม คลีฟแลนด์ คาวาเลียร์ พลิกสถานการณ์จากที่ตามหลัง 1-3 เกม กลับมาเอาชนะ โกลเด้น สเตท วอร์ริเออร์ส ที่นำโดยปีศาจ 3 แต้มอย่าง สเตฟเฟ่น เคอร์รี่ ไป 4-3 เกม คว้าแชมป์ NBA สมัยแรกในประวัติศาสตร์ 52 ปีของ คาวาเลียร์ส ได้สำเร็จ
ปี 2018 เลอบรอน เจมส์ ย้ายทีมอีกรอบ คราวนี้ย้ายไปอยู่กับทีมยักษ์หลับอย่าง แอลเอ เลเกอร์ส ที่ตกต่ำมาตลอดนับตั้งแต่หมดยุคของ โคบี้ ไบรอันท์ ผู้จากไป และในที่สุดก็ได้ตัว เลอบรอน มาจุดประกายความหวังขึ้นมาอีกครั้ง
ในปีแรกกับ เลเกอร์ส ทั้ง เลอบรอน เจมส์ และเพื่อนร่วมทีม ต่างโชคร้ายเจอปัญหาบาดเจ็บกันหลายราย จนไม่สามารถผ่านเข้าเพลย์ออฟ แต่พวกเขาก็พลิกสถานการณ์ได้ในปีถัดมา ด้วยการพา เลเกอร์ส คว้าแชมป์ NBA ได้สำเร็จ นับเป็นแชมป์สมัยที่ 4 ของ เลอบรอน อีกด้วย และเป็นการกอบกู้ เลเกอร์ส ให้กลับมาเป็นทีมหัวแถวของวงการอีกครั้ง
เลอบรอน เจมส์ ยังทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมอย่างสม่ำเสมอแม้จะมีอายุใกล้เข้าเลข 4 แล้วก็ตาม โดยเมื่อวันที่ 8 ก.พ. 2023 เจ้าตัวก็ขึ้นแท่นนักกีฬาบาสเกตบอลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล หลังทุบสถิติทำแต้มสูงสุดของ คารีม อับดุล-จับบาร์ ที่เคยทำไว้ 38,387 แต้มตลอดอาชีพ และเป็นสถิติที่ไม่มีใครทำลายได้มาถึง 34 ปีลงได้สำเร็จ ก่อนที่ล่าสุดเขาจะสร้างสถิติทำสกอร์ตลอดอาชีพทะลุหลัก 40,000 แต้มเป็นที่เรียบร้อย
ด้วยวัย 39 ปี แต่ เลอบรอน เจมส์ ยังดูแลร่างกายเป็นอย่างดี ขณะที่สถิติต่างๆที่ทำได้ก็แทบไม่แตกต่างจากวันแรกที่เข้าสู่ NBA ทำให้จนถึงปัจจุบันเจ้าตัวก็ยังไม่มีทีท่าว่าอยากจะเลิกเล่นแต่อย่างใด และสถิติของเขาคงไม่หยุดอยู่แค่นี้แน่นอน