มหกรรมกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 32 หรือ "ซีเกมส์ 2023" (SEA Games 2023) จัดขึ้นที่กรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา ระหว่างวันที่ 5-17 พฤษภาคม 2566 ซึ่งนับเป็นครั้งแรกของ กัมพูชา ที่ได้เป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬาของอาเซียน
ก่อนหน้านี้ กัมพูชา เกือบได้เป็นเจ้าภาพมาแล้วหลายครั้ง แต่สุดท้ายก็ต้องถอนตัวไปเนื่องจากปัญหาทางการเมืองและความไม่พร้อมในหลายๆด้าน จนกระทั่งปี พ.ศ. 2559 รัฐบาลกัมพูชาถึงได้ประกาศความพร้อมที่จะจัดการแข่งขัน และได้ยื่นความประสงค์ต่อสหพันธ์มนตรีซีเกมส์ กระทั่งได้รับโอกาสเป็นเจ้าภาพครั้งนี้ในที่สุด
กัมพูชา เดินหน้าเตรียมความพร้อมการเป็นเจ้าภาพครั้งนี้อย่างเต็มที่มาหลายปี โดยได้รับการสนับสนุนหลักจากรัฐบาลจีน ที่ช่วยมอบเงินถึง 160 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯในการก่อสร้างสนามกีฬาแห่งชาติ มรดก เตโช เพื่อแสดงถึงความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นระหว่างจีนและกัมพูชา
อย่างไรก็ตาม ด้วยความที่กัมพูชายังไม่เคยมีประสบการณ์ในการจัดมหกรรมกีฬาที่ใหญ่ขนาดนี้มาก่อน ทำให้การก่อสร้างส่วนอื่นๆยังมีความล่าช้า โดยเฉพาะ "หมู่บ้านนักกีฬา" ที่แต่เดิมวางแผนไว้สำหรับรองรับนักกีฬาและเจ้าหน้าที่ได้ถึง 6,000-7,000 คน ถึงเวลานี้ก็ยังไม่แล้วเสร็จ และมีรายงานว่าอาจสามารถรองรับนักกีฬา-เจ้าหน้าที่ได้จริง เหลือเพียงแค่ราว 3,500-4,000 คนเท่านั้น ทำให้บางส่วนต้องไปพักที่โรงแรม หรือทาวน์เฮ้าส์ที่เจ้าภาพเตรียมไว้แทน
ไหนจะเรื่องดราม่า "ลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสด" ที่ตั้งใจจะมีการเรียกเก็บค่าลิขสิทธิ์กันเป็นครั้งแรก กระทั่งเจอแรงต้านจากทั่วอาเซียน ทำให้นายกฯ ฮุน เซน ต้องประกาศยกเลิกการเก็บค่าลิขสิทธิ์ทั้งหมดไปเป็นที่เรียบร้อย
และยังไม่รู้ว่าเมื่อถึงการแข่งขันจริง จะมีปัญหาด้านอื่นๆตามมาอีกหรือไม่
เดินหน้าสู่การเป็น "เจ้าเหรียญทอง"
ด้วยความที่เป็นการจัดอีเวนต์ใหญ่ครั้งแรกของประเทศ ทำให้นอกจากจะตั้งเป้าจัดการแข่งขันให้ดีที่สุดแล้ว กัมพูชายังต้องการประสบความสำเร็จในแง่ของกีฬาเช่นกัน ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงมีความพยายามแก้กฎข้อบังคับมากมายเพื่อสร้างโอกาสให้ชาติตัวเองคว้าเหรียญรางวัลให้มากที่สุด ไม่ว่าจะเป็น
จึงนับเป็นงานหนักสำหรับนักกีฬาไทยและชาติอื่นๆอย่างยิ่งในการคว้าเหรียญรางวัลจากซีเกมส์ครั้งนี้
เป้าหมายของทัพนักกีฬาไทย
สำหรับ ซีเกมส์ 2023 มีแข่งขันจำนวน 36 ชนิดกีฬา (ไม่รวม เทคบอล ที่เป็นกีฬาสาธิต) มีชิงชัยถึง 608 เหรียญทอง ซึ่งเป็นจำนวนเหรียญทองสูงสุด ตั้งแต่มีการแข่งขันกีฬาซีเกมส์กันมา โดยทัพนักกีฬาของไทยตั้งเป้าหมายเอาไว้ทั้งสิ้น 112 เหรียญทอง แบ่งเป็น จักรยาน 2 เหรียญทอง, ยูโด 3 เหรียญทอง, คริกเก็ต 1 เหรียญทอง, วูซู 1 เหรียญทอง, เซปักตะกร้อ 7 เหรียญทอง, เทควันโด 5 เหรียญทอง, มวยสากล 5 เหรียญทอง, ยูยิตสู 3 เหรียญทอง, โววีนัม 3 เหรียญทอง, บาสเกตบอล 2 เหรียญทอง, ปันจักสีลัต 2 เหรียญทอง, คาราเต้ 1 เหรียญทอง, กอล์ฟ 4 ทอง
หมากรุกสากล 5 เหรียญทอง, เรือยาวมังกร 3 เหรียญทอง, มวยปล้ำ 1 เหรียญทอง, วอลเลย์บอล 2 เหรียญทอง เรือใบ 3 เหรียญทอง, สนุกเกอร์ 2 เหรียญทอง, อีสปอร์ต 2 เหรียญทอง, เจ็ตสกี 4 เหรียญทอง, เทเบิลเทนนิส 2 เหรียญทอง, เทนนิส 2 เหรียญทอง, ซอฟท์เทนนิส 2 เหรียญทอง, แบดมินตัน 2 เหรียญทอง, กรีฑา 12 เหรียญทอง, คิกบ็อคซิ่ง 7 เหรียญทอง, ว่ายน้ำ 5 เหรียญทอง, เปตอง 4 เหรียญทอง, เทคบอล 3 เหรียญทอง (กีฬาสาธิตไม่นับเหรียญรางวัล)
ฟันดาบ 2 เหรียญทอง, ยกน้ำหนัก 2 เหรียญทอง, วินด์เซิร์ฟ 1 เหรียญทอง, ฟุตบอล 2 เหรียญทอง, ฮอกกี้ 2 เหรียญทอง, ฟลอร์บอล 2 เหรียญทอง, ฟินสวิมมิ่ง 2 เหรียญทอง, ยิมนาสติก 1 เหรียญทอง และ ไตรกีฬา 1 เหรียญทอง โดย เบรกกิ้ง หรือแดนซ์สปอร์ต ตั้งเป้า 1 เหรียญเงิน
สุดท้ายแล้ว ทัพนักกีฬาไทยจะทำผลงานได้ตามเป้าหรือไม่ แฟนๆกีฬาชาวไทยรอติดตามกันได้ 5-17 พ.ค.นี้