4 กุมภาพันธ์ 2568 ความคืบหน้ากรณี น.ส.รุ่งอรุณ อายุ 38 ปี ร้องเพจสายไหมต้องรอดว่า ฝากครรภ์ครบ 9 เดือน เมื่อครบกำหนดคลอดแล้วอัลตร้าซาวด์ไม่พบเด็กหาย จึงอยากให้ช่วยตรวจสอบ รพ.ปทุมธานี นั้น เรื่องนี้ นายเอกภพ ผู้ก่อตั้งเพจสายไหมต้องรอด ได้ประสานไปยัง นายกองตรี ดร.ธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงสาธารณสุข ให้ช่วยตรวจสอบข้อเท็จจริงเรื่องนี้
ล่าสุด นายธนกฤต ได้สั่งให้กระทรวงสาธารณสุข ตรวจสอบข้อเท็จจริงแล้ว เบื้องต้น นายธนกฤต ระบุว่า ตอนนี้ปัญหาคือจะต้องกลับมาดูระบบการตรวจสอบ เพราะข้อมูลที่มีอยู่ขณะนี้ไม่ตรงกัน โดยข้อมูลในช่วงแรกที่นายเอกภพ แจ้งมาที่ตนเอง คือ น.ส.รุ่งอรุณ มีการไปตรวจที่คลินิกเอกชนแห่งหนึ่งตั้งแต่เดือน กุมภาพันธ์ 2567 ว่า มีการตั้งครรภ์ นั่นหมายความว่า หากตั้งครรภ์ช่วงนั้นจะต้องเริ่มมีการปฏิสนธิตั้งแต่ ม.ค. 67 แต่ในทะเบียนประวัติของโรงพยาบาลปทุมธานี เข้ามารับการรักษาในเดือน 6 คือเดือนมิถุนายน 2567 ซึ่งช่วงเวลาก่อนหน้านั้นหายไป
แต่ทาง น.ส.รุ่งอรุณ ได้นำมาบัตรคิวของเดือน พ.ค. คือเดือน 5 ปี 2567 ที่ไปกดรับบัตรคิวจาก รพ.ปทุมธานี มาแสดงเป็นหลักฐานว่า มาใช้บริการ ทำให้ตนได้สอบถามกับโรงพยาบาลว่า หากไม่ได้ทำการรักษา แม้จะกดบัตรคิวจะมีข้อมูลไปอยู่ใน OPD ได้หรือไม่ ซึ่งได้คำชี้แจงว่า ก็เป็นไปได้ว่า กดบัตรคิวแล้ว อาจจะใช้บริการหรือไม่ได้ใช้บริการก็ได้
เพราะบัตรคิวที่ น.ส.รุ่งอรุณ นำมาแสดงมี 3 ใบที่กด ซึ่งพบว่า มีตรงกับบันทึกการเข้ารับการรักษาในระบบของโรงพยาบาล 1 ใบ และไม่ได้อยู่ในระบบของโรงพยาบาล 2 ใบ จึงทำให้ต้องมาตรวจสอบเรื่องระบบว่า มีปัญหา Error หรือไม่ รวมถึงต้องมาตรวจสอบว่า แพทย์คนไหนเป็นคนวินิจฉัยว่า น.ส.รุ่งอรุณ ตั้งครรภ์หรือไม่ตั้งครรภ์
“เท่าที่มีการสอบถามแพทย์ทางด้านสูติฯ ยังไม่เคยเจอกรณีที่ถุงน้ำคล่ำแยกกัน เพราะส่วนใหญ่จะเจอท้องลูกแฝด และคำถามต่อมาคือ ทำไมถึงเจอเด็กที่อยู่ในครรภ์ต่างกัน เด็กจะต้องคลอด ก.ย.-ต.ค.แล้ว 1 คนหรือไม่”
นายธนกฤต กล่าวว่า ทั้งนี้เมื่อตรวจสอบข้อมูลในระบบของโรงพยาบาล พบประวัติการรักษา เมื่อวันที่ 20 ม.ค.2568 ถึงจะพบว่า มีการตั้งครรภ์มาแล้ว 14-15 สัปดาห์ หรือประมาณ 3 เดือน และจากการตรวจสอบประวัติการรักษาของ น.ส.รุ่งอรุณ ที่เข้ามารับการรักษาที่โรงพยาบาลปทุมธานี ก็เป็นการเข้ามารักษาโรคอื่น ที่ไม่ใช่เรื่องของการฝากครรภ์ ดังนั้นจึงต้องเอาข้อมูลทั้งสองฝ่ายมาเปรียบเทียบกัน เพราะเรื่องนี้ ยังมีข้อสงสัยอยู่หลายอย่าง
“ตนจึงได้นัดพูดคุยและหาคำตอบในวันพฤหัสบดี เวลา 10.00น. ที่โรงพยาบาลปทุมธานี เพื่อให้นำข้อมูลของทั้งสองฝ่าย มาตรวจสอบกับระบบ และตรวจสอบหาข้อเท็จจริง”
ส่วนระบบจะ Error ได้หรือไม่นั้น นายธนกฤต ระบุว่า ตอบได้ลำบากเพราะวันหนึ่งประชาชนใช้หลายพันคน ถ้าจะ Error ต้อง Error หมดไม่ใช่แค่คนคนเดียว ซึ่งก็มีข้อน่าสังเกตโดยเฉพาะการตั้งครรภ์เป็นเรื่องที่ดี และหมอกับคนไข้ไม่ได้รู้จักกันมาก่อนการจะมาโกรธเคืองกันก็เป็นเรื่องไกลตัวเกินไป จึงไม่น่าใช่เรื่องของความกลั่นแกล้งกัน ดังนั้นจึงต้องตรวจสอบทั้งระบบ และบุคคล คาดว่าวันพฤหัสนี้จะมีความชัดเจน และเชื่อว่าจะมีข้อยุติได้ ถ้าโรงพยาบาลมาข้อผิดพลาดก็ต้องเยียวยากัน ถ้าไม่มีข้อผิดพลาดก็เป็นเรื่องกาคสื่อสารที่ไม่ตรงกันก็จะต้องทำความเข้าใจ
ความสำคัญของการตรวจสอบเรื่องนี้คือ ท้องหรือไม่ท้อง ถ้าท้องแล้วเด็กอยู่ในท้องหรือไม่ ซึ่งหลังจากนี้จะให้ทางกระทรวงสาธารณสุขไปตรวจสอบคลินิกเอกชน 2 แห่ง ที่ระบุข้อความในเอกสารมาด้วยว่ามีการตั้งครรภ์
ขณะที่ นายแพทย์ชัยรัตน์ วงศ์วรพิทักษ์ รอง ผอ.ฝ่ายการแพทย์ รพ.ปทุมธานี ระบุว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทางโรงพยาบาลเพิ่งทราบเรื่องตอนที่เป็นข่าว ยืนยันที่ผ่านมาไม่เคยรับรู้ หรือได้รับการร้องเรียนจากคนไข้มาก่อนเลย ส่วนที่คนไข้อ้างว่า ได้มีการฝากครรภ์กับทางโรงพยาบาล แต่เด็กในท้องกลับหายปริศนานั้น ตอนนี้ทางโรงพยาบาลอยู่ระหว่างการตรวจสอบข้อเท็จจริง แต่จากการตรวจสอบข้อมูลเวชระเบียนเบื้องต้น ทางโรงพยาบาลไม่พบข้อมูลเกี่ยวกับการฝากครรภ์ ของ น.ส.รุ่งอรุณ
พร้อมชี้แจงว่า น.ส.รุ่งอรุณ เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาล ตั้งแต่เดือน มิ.ย.2567 โดยมีข้อมูลบันทึกในระบบทั้งหมด 11ค รั้ง ส่วนใหญ่เป็นอาการทางกาย เจ็บไข้ เจ็บคอ อาเจียน อ่อนเพลีย ไม่มีแรง โดยเมื่อวันที่ 4 มิถุนายน 67 มาด้วยอาการ “ปวดหลังร้าวลงขา” แต่ไม่ได้รอตรวจและไม่ได้รับยาในครั้งนั้น
ต่อมาได้มารักษาครั้งที่ 2 เมื่อ 12 มิถุนายน 67 มาด้วยอาการไข้ ไอ อาเจียน แพทย์วินิจฉัย เกิดจาก ไข้หวัด ลำไส้อักเสบ แพทย์ได้ให้ยากลับบ้านไป
จากนั้น น.ส.รุ่งอรุณ ได้เดินทางมารักษาอาการเกี่ยวกับการเจ็บป่วยทางกายอีก 9 ครั้ง จนถึง 25 ธันวาคม 67 รวมทั้งหมด 11 ครั้ง ซึ่งจากการตรวจสอบ น.ส.รุ่งอรุณ ไม่มีประวัติมาด้วยเรื่องการตั้งครรภ์เลยแม้แต่ครั้งเดียว มีเพียงวันที่ 13 มิถุนายน 67 เท่านั้น ที่ทางโรงพยาบาลพบว่า แพทย์ผู้ตรวจอาการได้มีการบันทึกข้อมูลไว้ว่า น.ส.รุ่งอรุณ มาด้วยเรื่องการติดตามโรคคออักเสบ และปัสสาวะ และแพทย์ได้ระบุท้ายการตรวจไว้สั้นๆ เพียงว่า “ตั้งครรภ์ร่วมกับมีปัสสาวะติดเชื้อ นัดส่งปัสสาวะตรวจแผนกสูตินรีเวชในวันรุ่งขึ้น 14 มิถุนายน 2567
ซึ่งจากการไปสอบถามแพทย์คนดังกล่าว คาดว่า น.ส.รุ่งอรุณ น่าจะบอกว่า ตัวเองตั้งครรภ์ ทำให้หมอจดบันทึกลงไป แต่หมอยังไม่ได้มีการตรวจ และได้นัดหมายให้เข้ามาพบ สูตินารีฯ เพื่อพบหมอเฉพาะทาง ในวันที่ 14 มิ.ย.67 แต่ น.ส.รุ่งอรุณ ไม่ได้ไปพบหมอ
กระทั่งครั้งที่ 12 ที่ น.ส.รุ่งอรุณ เข้ารับการรักษา 20 มกราคม 68 ได้มาขอเข้ารับการรักษาโดยให้แพทย์ตรวจปัสสาวะ เพราะสงสัยว่าจะตั้งครรภ์ อ้างว่าขาดประจำเดือนมาแล้ว 2 เดือน แพทย์จึงได้ตรวจปัสสาวะให้ แต่ น.ส.รุ่งอรุณ ไม่ได้รอฟังผล จนกระทั่งครั้งที่ 13 วันที่ 30 มกราคม 68 น.ส.รุ่งอรุณ ได้เดินทางมาฟังผลการตรวจปัสสาวะ แพทย์จึงมีการแจ้งให้ทราบว่า เธอได้ตั้งครรภ์เมื่อ 20 มกราคม 68 จึงได้มีการเจาะเลือดและมีการเริ่มฝากครรภ์เป็นวันแรก โดยมีการอัลตร้าซาวด์เพื่อดูอายุครรภ์พบว่า เด็กมีอายุครรภ์จำนวน 13 สัปดาห์หรือประมาณ 3 เดือนเท่านั้น และไม่มีเด็กในท้องอีกคนอย่างที่กล่าวอ้าง
ส่วนที่ น.ส.รุ่งอรุณ ได้อ้างว่า ได้เริ่มฝากครรภ์กับทางโรงพยาบาล ตั้งแต่ช่วงเดือนพฤษภาคม 67 เรื่อยมาจนเด็กในท้องอายุครรภ์ 9 เดือน และจะต้องผ่าคลอดนั้น ทางโรงพยาบาลไม่พบข้อมูลดังกล่าว และกำลังตรวจสอบเพิ่มเติมว่า แพทย์คนใดเป็นคนพูดหรือรักษาให้ ซึ่งค่อนข้างยากเพราะว่าไม่มีข้อมูลตามเวชระเบียนที่ระบุไว้
ส่วนเรื่องบัตรคิวที่ น.ส.รุ่งอรุณ มีการนำมาใช้เป็นหลักฐานว่า มีการฝากครรภ์กับทางโรงพยาบาลจริงๆ แต่ไม่พบตามเวชระเบียน อยู่ระหว่างตรวจสอบว่าเกิดอะไรขึ้น พร้อมชี้แจงว่า ปกติคนไข้ที่จะเข้ามาตรวจจะตรวจกดบัตรคิ วเพื่อรับการคัดกรองว่าเป็นอะไรมา จะได้ส่งไปตรวจให้ถูกแผนก หลังจากนั้นจึงจะมีการนำบัตรประชาชนเสียบเข้าไปเพื่อรับบัตรคิว หลังจากนั้นจึงจะเข้าไปตรวจ ซึ่งการรับบัตรคิว จะไม่ได้มีบันทึกการรักษา เพราะเป็นเพียงบัตรคิว บัตรนำทางไปเข้าพบแพทย์ ซึ่งยืนยันว่า ถ้าไม่ได้พบหมอ จะไม่ถูกบันทึกในระบบ ดังนั้น จึงต้องไปตรวจสอบข้อเท็จจริงเรื่องนี้ โดยเฉพาะเรื่องของระบบ ส่วนจะมีความแม่นยำแค่ไหน ก็ต้องรอให้มีผลการตรวจสอบให้ชัดเจนเพราะถือเป็นประเด็นสำคัญ
ส่วนจะเป็นไปได้หรือไม่ที่ท้องอยู่แล้ว จะมีการท้องซ้อนออกมาในถุงน้ำคล่ำอีกใบนั้น นายแพทย์ชัยรัตน์ ระบุว่า จากการสอบถามเพื่อนสูติฯมา ก็บอกว่าโอกาสที่จะท้องแบบนั้นน้อยมาก เพราะหากตั้งครรภ์อยู่ พื้นที่ที่เหมาะสมกับมดลูก การปฏิสนธิ ฮอร์โมน ก็ไม่น่าจะเอื้ออำนวย ซึ่งในทางการแพทย์เป็นไปได้น้อยมาก และการที่เด็กอายุครรภ์ถึง 9 เดือน จู่ๆ จะหายไปจากท้องของผู้เป็นแม่นั้น โดยที่ผู้เป็นแม่ไม่รู้สึกตัวเลยแทบเป็นไปไม่ได้ พร้อมยืนยันว่า หลังจากนี้ คงต้องให้ความเป็นธรรมทุกฝ่าย และดูไปตามข้อเท็จจริง
ด้าน น.ส.รุ่งอรุณ ยืนยันว่า เกือบทุกครั้งที่ไปหาหมอ ตนเองอัลตร้าซาวด์จะเห็นเด็กอยู่ในท้องจริงๆ เป็นรูปเด็ก มีดิ้นๆ ด้วย เห็นทุกอย่าง เพราะไปตามที่หมอนัด แต่ไม่ได้บันทึกภาพขณะที่หมออัลตร้าซาวด์ เพราะหมอไม่ให้เอาโทรศัพท์เข้าไป และทางโรงพยาบาลก็ไม่มีภาพอัลตร้าซาวด์ให้ด้วย ทำให้ตนเองไม่มีหลักฐานส่วนนี้ และทุกครั้งที่ไปอัลตร้าซาวด์ จะมีหมอ 2 คน และหมอฝึกงาน และมีนักศึกษาผู้หญิงหลายคน
“หนูท้องจริง ถ้าหนูโกหก หนูคงไม่กลัามาออกสื่อแบบนี้ ถ้าหนูโกหกหนูจะโกหกไปเพื่ออะไร หนูต้องการอะไรถึงจะมาโกหก หนูพูดจากใจถ้าโกหกคงไม่มีหน้ากล้ามาเปิดหน้าออกสื่อแบบนี้”
และวันนี้เท่าที่ฟังจากโรงพยาบาลข้อมูลยังไม่ตรงกัน แต่ยืนยันได้ว่า ตนเองไปรักษาทุกรอบที่หมอนัด ถึงไม่สบายก็ไป และจะแจ้งหมอตลอดที่อัลตร้าซาวด์
ส่วนบัตรคิว ที่นำมาใช้เป็นหลักฐาน เพราะตนเองกดครั้งแรกที่ไปโรงพยาบาล หลังจากนั้นจะนีดหมายในสมุดสีชมพู โดยไปฝากครรภ์ครั้งแรก 16 พ.ค. ซึ่งในวันนั้นตนเองไม่รู้ขั้นตอน จึงไปกดบัตรคิวว่ามาฝากครรภ์ ซึ่งจริงๆ ไม่ต้องกดบัตรคิวแล้ว เพราะในสมุดสีชมพูมีวันนัดหมายอยู่แล้ว สามารถขึ้นไปชั้น 4 เพื่อพบหมอตามนัดหมายได้เลย โดยตนได้สมุดสีชมพู สมุดฝากครรภ์ มาจากคลินิกที่ไปรับการตรวจครั้งแรก และพอมาฝากครรภ์ที่โรงพยาบาล ทางโรงพยาบาลก็ไม่ได้เปลี่ยนสมุดใหม่ให้ ยังใช้สมุดเดิมมาตลอด และที่ไม่ได้บันทึกภาพต่างๆ ไว้ เพราะไม่คิดว่าจะเกิดเหตุการณ์ลักษณะนี้
จนกระทั่งวันที่ 30 มกราคม 2568 ที่พบว่าลูกในครรภ์หายไป ทางโรงพยาบาลก็ได้ขอสมุดเล่มนี้คืนไป พร้อมบอกว่าจะเอาเล่มใหม่มาให้ เพื่อใช้กับการตั้งครรภ์ของลูกคนปัจจุบัน และคนที่เขียนรายละเอียดในสมุดและนำสมุดของเธอไป เธอบอกว่า คือนักศึกษาแพทย์ แต่แปลกใจว่าทำไมถึงไม่มีในระบบการรักษาว่า ตนเองไปฝากครรภ์
น.ส.รุ่งอรุณ พูดทั้งน้ำตาว่า ตนเองก็อยากรู้ว่า “เอกสารที่หนูหาหมอมาทั้งหมด หายไปไหน ลูกหนูหายไปไหน” พร้อมยอมรับว่า รู้สึกตกใจช็อก เมื่อโรงพยาบาลแจ้งว่าไม่มีเด็ก มันเหมือนหัวใจสลาย บางคนว่าตนเองโกหกแล้วตนเองจะโกหกทำไม ใครจะรุมด่าว่าตนเองไม่ได้สนใจ เพราะทุกอย่างคือเรื่องจริง และวันนี้ก็ต้องการคำตอบแค่ว่า ลูกของตนเองหายไปไหน และไม่ได้ต้องการจะเอาเรื่องโรงพยาบาล
น.ส.รุ่งอรุณ ยังยอมรับอีกว่า ช่วงที่ตนเองท้อง จนถึง 9 เดือน ท้องก็ใหญ่ และคนแถวบ้านก็รับรู้หมดว่าตนเองท้อง แต่ไม่ได้ถ่ายรูปเก็บไว้เลยในช่วงที่ท้องโต มีแค่พ่อของเด็กจะมาคุยกับลูกในท้อง ก่อนออกไปทำงานก็จะสัมผัสได้ว่าลูกดิ้น ยิ่งครรภ์โตท้องยิ่งแข็ง จะมาบอกว่าตนเองมโนตั้งครรภ์ทิพย์เป็นไปไม่ได้แน่นอน จนประมาณเดือนธันวาคมที่ผ่านมา ตนแปลกใจว่าทำลูกไม่ดิ้น จนไปหาหมอ แล้วไปอัลต้าซาวล์ จึงว่าไม่มีเด็ก ซึ่งระหว่างนั้นก็ไม่ได้มีเลือดออกเหมือนคนแท้งใดๆ ทั้งสิ้น
น.ส.รุ่งอรุณ ยังเล่าย้ำอีกว่า ตอนที่ตั้งท้องแรกได้ 7 เดือน ก็มารู้ว่ามีถุงน้ำคล่ำอีก 1 ถุง ซึ่งตอนนั้นใกล้ครอบกำหนดคลอดของลูกคนแรกแล้ว
นักข่าวเลยขออนุญาตถามเลยว่า หลังจากตั้งท้องคนแรก ได้มีเพศสัมพันธ์กับสามีอีกหรือไม่ น.ส.รุ่งอรุณ ตอบว่า หลังจากท้องได้ 6 เดือน ก็ไม่เคยมีอะไรกับแฟนอีก ซึ่งยอมรับว่า ส่วนตัวก็รู้สึกแปลกใจว่า ท้องได้อย่างไร จึงได้สอบถามหมอ หมอก็ชี้แจงว่า อาจจะเป็นเพราะมีรังไข่ค้างอยู่แต่น้อยมากหรืออาจจะเป็นไปไม่ได้
สำหรับลูกในท้อง 3 เดือนตอนนี้ ก็ยืนยันที่จะไปฝากครรภ์ที่อื่นแล้ว โดยไม่ขอใช้บริการที่โรงพยาบาลนี้อีก
นอกจากนี้ นางสาวรุ่งอรุณ ยังได้นำ ผ้าอ้อม ผ้าขนหนู และของใช้บางสีวน ที่เตรียมไว้เพื่อจะคลอดลูกคนแรก มาให้กับนักข่าวได้ดูเป็นตระกร้าๆ เธอบอกนี่แค่ส่วนหนึ่งที่เอามา และเธอท้องจริงและรู้ว่าลูกเป็นเพศชาย เพราะของทุกอย่างซื้อไว้เป็นสีฟ้าหมด พอรู้ว่าลูกเป็นผู้ชาย