09 พฤษภาคม 2567 "จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย" สร้างความภูมิใจให้สถาบันอุดมศึกษาไทยในระดับเอเซีย โดยเป็นมหาวิทยาลันอันดับ 1 ของไทย จากการจัดอันดับสถาบันอุดมศึกษาที่ดีที่สุดในเอเชีย THE Asia University Rankings 2024 ซึ่งประกาศผลอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2567
ทั้งนี้ อันดับของ จุฬาฯ ขยับขึ้นจากเมื่อปีที่แล้วถึง 102 อันดับ จากสถาบันอุดมศึกษาในเอเชียที่ได้รับการจัดอันดับจำนวนทั้งสิ้น 739 แห่ง (ไม่นับรวมสถาบันที่ไม่ผ่านเกณฑ์ขั้นต่ำ หรือ Reporter) ซึ่งมากกว่าปีที่แล้ว ที่มีสถาบันอุดมศึกษาจำนวน 669 แห่ง โดยมีมหาวิทยาลัยไทยได้รับการจัดอันดับจำนวน 19 แห่ง
ผลการจัดอันดับมหาวิทยาลัย THE Asia University Rankings 2024 ซึ่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยครองอันดับ 1 มหาวิทยาลัยไทย และอันดับ 117 ของเอเชีย เป็นผลมาจากผลงานความโดดเด่นจาก 5 ตัวชี้วัดในการจัดอันดับมหาวิทยาลัยครั้งนี้ ได้แก่
ทำความรู้จัก "จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย"
“ เจ้านายราชตระกูล ตั้งแต่ลูกฉันเปนต้นลงไป ตลอดจนถึงราษฎรที่ต่ำที่สุด จะให้ได้มีโอกาศเล่าเรียนได้เสมอกัน ไม่ว่าเจ้า ว่าขุนนาง ว่าไพร่ เพราะฉนั้น จึงขอบอกได้ว่าการเล่าเรียนในบ้านเมืองเรานี้จะเปนข้อสำคัญที่หนึ่ง ซึ่งฉันจะอุตสาห์จัดให้เจริญขึ้นจงได้ ”
พระราชดำรัส พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ในที่ประชุมพระบรมวงศานุวงศ์และข้าราชการ เนื่องในโอกาสเสด็จพระราชดำเนินไปทอดพระเนตรโรงเรียนพระตำหนักสวนกุหลาบ พุทธศักราช 2427
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นสถาบันอุดมศึกษาแห่งแรกของประเทศไทย ถือกำเนิดจากโรงเรียนสำหรับฝึกหัดวิชาข้าราชการฝ่ายพลเรือน โดยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้ตั้งขึ้น ณ ตึกยาวข้างประตูพิมานชัยศรีในพระบรมมหาราชวัง เมื่อ พ.ศ.2442 และเปลี่ยนชื่อเป็นโรงเรียนมหาดเล็ก เมื่อ 1 เมษายน พ.ศ. 2445 เพื่อผลิตบุคลากรให้รับราชการ ซึ่งมีการขยายตัวอย่างรวดเร็ว จากพระบรมราโชบายปฏิรูประบบบริหารราชการแผ่นดินเมื่อ พ.ศ. 2425
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ภาคราชการและเอกชนต้องการบุคลากรทำงานในสาขาวิชาต่างๆ กว้างขวางมากขึ้น พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงพระอนุสรณ์คำนึงถึงพระบรมราโชบายในสมเด็จพระบรมชนกาธิราชที่จะ “ให้มีมหาวิทยาลัยขึ้นสำหรับเป็นสถาบันอุดมศึกษาของชาวสยาม” จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สถาปนาโรงเรียนมหาดเล็กเป็นสถาบันอุดมศึกษา พระราชทานนามว่า “โรงเรียนข้าราชการพลเรือนของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว” เมื่อ 1 มกราคม พ.ศ. 2453
ต่อมาพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำริที่จะขยายการศึกษาในโรงเรียนข้าราชการพลเรือนฯ ให้กว้างขวางยิ่งขึ้น คือ ไม่เฉพาะสำหรับผู้ที่จะเล่าเรียนเพื่อรับราชการเท่านั้น แต่จะรับผู้ซึ่งประสงค์จะศึกษาขั้นสูงให้เข้าเรียนได้ทั่วถึงกัน จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ประดิษฐานโรงเรียนข้าราชการพลเรือนฯ ขึ้นเป็น “จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย” เมื่อ 26 มีนาคม พ.ศ. 2459
เพื่อเป็นพระบรมราชานุสาวรีย์เฉลิมพระเกียรติแห่งสมเด็จพระบรมชนกาธิราชให้เจริญก้าวหน้ากว้างขวางแผ่ไพศาลต่อไป โดยในช่วงแรกมีการจัดการศึกษาเป็น 4 คณะ ได้แก่ คณะรัฐประศาสนศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ คณะอักษรศาสตร์และวิทยาศาสตร์
ทำความรู้จัก “พระเกี้ยว” ศิราภรณ์ชั้นสูง สัญลักษณ์ “จุฬาฯ”
“พระเกี้ยว” หรือ จุลมงกุฎ เป็นศิราภรณ์ประดับพระเกศา หรือพระเศียรของพระราชโอรสและพระราชธิดาของพระมหากษัตริย์ และเป็นพิจิตรเลขาประจำรัชกาลในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ทั้งนี้ พระปรมาภิไธยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว คือ “จุฬาลงกรณ์” ซึ่งแปลว่า เครื่องประดับศีรษะ หรือ จุลมงกุฎ ซึ่งมีความหมายเชื่อมโยงกับพระปรมาภิไธยของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว นั่นคือ “มงกุฎ”
อีกทั้ง พระปรมาภิไธยในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ยังมีหมายความว่า “พระจอมเกล้าน้อย” อีกด้วย
เมื่อพระนามาภิไธยเดิมและพระปรมาภิไธยเดิมของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมีความหมายว่า “พระเกี้ยว” หรือ “จุลมงกุฎ” จึงได้ใช้ “พระเกี้ยว” หรือ จุลมงกุฎวางบนเบาะ เป็นพิจิตรเลขาประจำรัชกาลของพระองค์
สำหรับ การใช้ “พระเกี้ยว” เป็นเครื่องหมายประจำสถาบันการศึกษานั้น มีมาตั้งแต่สมัย "โรงเรียนฝึกหัดข้าราชการพลเรือน" โดยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้อัญเชิญพระเกี้ยวเป็นเครื่องหมายหน้าหมวกของนักเรียน
ต่อมาเมื่อโรงเรียนฝึกหัดข้าราชการพลเรือน เปลี่ยนชื่อเป็น "โรงเรียนมหาดเล็ก" จึงโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้อัญเชิญ “พระเกี้ยว” เป็นเครื่องหมายหน้าหมวกของนักเรียนมหาดเล็ก
ต่อมาเมื่อ โรงเรียนมหาดเล็ก กราบบังคมทูลขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตอัญเชิญพระเกี้ยวเป็น เครื่องหมายของโรงเรียน ก็ได้พระราชทานพระบรมราชานุญาตตามที่กราบบังคมทูลขอพระราชทาน
กระทั่ง โรงเรียนมหาดเล็ก ได้วิวัฒน์ขึ้นเป็น โรงเรียนข้าราชการพลเรือนฯ และ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผู้บริหารก็ได้กราบบังคมทูลขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตเปลี่ยนข้อความใต้ “พระเกี้ยว” ตามชื่อ ซึ่งได้รับพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ใช้ ตราพระเกี้ยว เป็นเครื่องหมายประจำมหาวิทยาลัย ตราบจนถึงปัจจุบัน
สำหรับ “พระเกี้ยว” องค์ที่ประดิษฐานอยู่ที่หอประวัติจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ตึกจักรพงษ์ เป็น “พระเกี้ยว” ซึ่งมหาวิทยาลัยได้รับพระบรมราชานุญาตจาก พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช เพื่อสร้างจำลองจาก “พระเกี้ยว” จริง ที่ประดิษฐานอยู่ในพระคลังมหาสมบัติในพระบรมมหาราชวัง
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สร้าง “พระเกี้ยว” จำลอง เมื่อ พ.ศ.2529 และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ได้ทรงเจิมและทรงพระสุหร่ายที่องค์พระเกี้ยว แล้วพระราชทานแก่มหาวิทยาลัยต่อหน้าประชาคมจุฬาฯ ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรประจำปีการศึกษา 2531 เมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม 2532
สำหรับ สถานศึกษาที่ใช้ “พระเกี้ยว” เป็นสัญลักษณ์ มีหลายระดับการศึกษา ทั้งในระดับสถาบันอุดมศึกษา และในระดับโรงเรียนมัธยม
สถาบันอุดมศึกษา ที่ใช้ “พระเกี้ยว” หรือ “จุลมงกุฎ” เป็นสัญลักษณ์ มีดังนี้
โรงเรียนระดับมัธยมศึกษา ที่ใช้ “พระเกี้ยว” หรือ “จุลมงกุฎ” เป็นสัญลักษณ์ มีดังนี้
ขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบ :