
เริ่มกันที่ที่มาของ "วันหมีโลก" (World Bear Day) วันนี้ถูกจัดตั้งขึ้นมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1992 เพื่อส่งเสริมและสร้างความตระหนักรู้ในการอนุรักษ์หมี เพราะหมีก็เป็นหนึ่งในสัตว์ที่มักถูกล่า เพื่อสนองความต้องการในหลายด้าน เช่น การล่าหมีเพื่อเป็นเกมกีฬา หรือการล่าเพื่อนำอุ้งตีนหมีมารับประทาน เป็นต้น
หมีเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดใหญ่ ที่สามารถกินอาหารได้หลากหลายทั้งพืชและสัตว์ โดยเราสามารถพบเห็นได้แทบทุกทวีปโดยขึ้นอยู่กับชนิดของหมีและที่อยู่อาศัย ซึ่งปัจจุบันเราค้นพบหมีทั่วโลกมากถึง 8 ชนิด (ไม่นับชนิดย่อย) แต่ละชนิดมีพฤติกรรมและรูปลักษณ์ที่แตกต่างกันไปตามแหล่งอาศัย
โดยข้อมูลจากเพจเฟซบุ๊ก Environman เคยโพสต์เกี่ยวกับ หมี 8 ชนิดทั่วโลก ดังนี้
ภัยคุกคาม
นอกจากการล่าหมีแล้ว ในปัจจุบันหมีทั่วโลกแต่ละชนิด ต่างต้องเผชิญกับปัญหาที่แตกต่างกันออกไป แต่ส่วนใหญ่แล้วเป็นผลกระทบมาจากมนุษย์ เช่น การถูกทำลายแหล่งอาศัย การขาดแคลนอาหาร ไฟป่า และสภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ "โลกร้อน" ทำน้ำแข็งในทะเลละลาย ส่งผลให้ "หมีขั้วโลก" เดือดร้อน ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ เคยออกมาย้ำแล้วว่า หมีขั้วโลก จ่อสูญพันธุ์ภายในปี 2100 ถ้าสถานการณ์โลกร้อนยังไม่ดีขึ้น ทำให้น้ำแข็งในทะเลละลาย จนหมีไม่มีแหล่งอาหาร
ดร.ปีเตอร์ มอลนาร์ จาก University of Toronto in Ontario กล่าวว่า หมีขั้วโลก เป็นสัตว์ลำดับต้นๆ ของโลก ที่จะได้รับความเดือดร้อน จากน้ำแข็งทะเลละลาย เนื่องจากไม่มีที่ทางให้เขาอยู่ ซึ่งหมีขั้วโลก อาจหายไปภายในสิ้นศตวรรษนี้ เพราะน้ำแข็งในทะเลละลายหายไปอย่างมาก และทำให้หมีขั้วโลกขาดแหล่งอาหารด้วย
ภาวะโลกร้อน หนึ่งในตัวการสำคัญ ทำหมีขั้วโลกเดือดร้อน
"หมีขั้วโลก" ซึ่งอาศัยอยู่ในบริเวณมหาสมุทรอาร์กติก ต้องอาศัยแผ่นน้ำแข็งทะเล ในการล่าแมวน้ำ แต่เพราะแต่การละลายหรือแยกตัวของน้ำแข็ง ทำให้พวกเขาต้องออกห่างจากที่ล่าไปยังที่ไกลๆ หรือต้องออกล่าบนชายฝั่ง ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการหาอาหารเลี้ยงลูกๆ ของเขา
หมีขั้วโลก ยังถูกจัดอยู่ในรายชื่อของสิ่งมีชีวิตที่มีแนวโน้มใกล้สูญพันธุ์ ของ องค์การระหว่างประเทศเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติ (IUCN) ซึ่งภาวะโลกร้อน เป็นหนึ่งในตัวการสำคัญ ที่ทำให้ชีวิตของหมีขั้วโลกอยู่ในความเสี่ยง
ทั้งนี้ งานวิจัยหลายชิ้นเผยว่า การลดลงของน้ำแข็งในทะเลนั้น ทำให้ประชากรของหมีขั้วโลกลดลง ซึ่งมีงานวิจัยได้คำนวณเวลาว่า หมีขั้วโลกจะหายไปจากโลกเมื่อไหร่ สอดคล้องกับ ดร.สตีเว่น แอมสตรัป นักวิทยาศาตร์ ที่ระบุว่า
"ในอนาคต "ลูกหมีขั้วโลก" จะมีชีวิตอยู่รอดได้ยาก เพราะตัวของแม่หมี ไม่มีไขมันในร่างกาย ที่จะผลิตนมให้ลูก ในช่วงที่ไม่มีน้ำแข็งและการที่เราจะช่วยชีวิตเพื่อนร่วมโลกของเราไว้ได้ก็คือ ต้องร่วมกันลงมือทำอะไรสักอย่าง"
งานวิจัยเผยอีกว่า จากสถานการณ์การปล่อยก๊าซเรือนกระจกในปัจจุบัน อาจมีความเป็นไปได้ว่า ประชากรของหมีขั้วโลกบางส่วน อาจจะหายไปภายในปี 2100 หากสถานการณ์โลกร้อนยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง และแม้ว่าเราจะสามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของโลกได้ แต่ประชากรหมีขั้วโลกหลายแห่ง ก็ยังจะหายไปอยู่ดี
เปิด 8 ข้อเท็จจริง ที่(อาจ)จะทำให้คุณรู้จักหมีขั้วโลกมากขึ้น
ในเว็บไซต์ Greenpeace ซึ่งเป็นองค์กรรณรงค์ด้านสิ่งแวดล้อม ได้ระบุ 8 เหตุผลในการรักษาระยะห่าง และชื่นชมหมีขั้วโลกจากระยะไกล ดังนี้
1.แท้จริงแล้ว หมีขั้วโลกมีผิวสีดำ
2.กัดแรงกว่าฉลามขาว
3.เห็นน่ารักแบบนั้น แต่ดันเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมแค่ชนิดเดียวที่มักไล่ล่ามนุษย์
4.วิ่งเร็วเท่าม้า
5.ซ่อนตัวจากกล้องอินฟาเรตจับความร้อนได้
6.มีเปลือกตาสามชั้น
7.ไม่จำเป็นต้องดื่มน้ำ
8.เป็นหมีที่ไม่เคยเปียก
หมีในประเทศไทย
หลังจากไปรู้จักหมีขั้วโลกกันแล้ว ทีนี้ขอพาย้อนกลับมาบ้านเรากัน อย่างที่กล่าวไปตอนต้น หมีทั่วโลกมี 8 ชนิด ซึ่งในประเทศไทยพบได้ 2 ชนิด ได้แก่ หมีหมา (Sun Bear) และหมีควาย (Asiatic Black Bear) และหมีทั้งสองชนิดมีความเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์
แล้ว 2 หมีนี้ ต่างกันอย่างไรล่ะ?
อ้างอิงจากข้อมูลของ ศูนย์เฝ้าระวังและติดตามโรคจากสัตว์ป่า สัตว์ต่างถิ่นและสัตว์อพยพ (MoZWE) หมี 2 ชนิดนี้ต่างกัน ดังนี้
หมีหมา
หมีควาย
ย้อนเส้นทาง "กองทัพ" กับ "น้ำเมย" 2 ลูกหมีควายถูกลักลอบนำข้ามแดน สู่บ้านใหม่
หลังจากรู้จักหมีในประเทศไทยกันพอสมควรแล้ว ผู้เขียนขอพาไปรู้จักกับ "กองทัพ" กับ "น้ำเมย" สองลูกหมีควายที่ถูกลักลอบนำข้ามชายแดนจากเมียนมาร์
เรื่องราวของลูกหมี 2 ตัวนี้ มีจุดเริ่มต้นมาจาก เพจเฟซบุ๊ก ประชาสัมพันธ์ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช โพสต์รูปภาพและข้อความ ระบุว่า เมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2567 น.ส.จุฑามาศ ทีฟอง หัวหน้าด่านตรวจสัตว์ป่าแม่สอด รายงานว่า เมื่อเวลา 11.00 น. คณะเจ้าหน้าที่ด่านตรวจสัตว์ป่าแม่สอด ร่วมกับคณะเจ้าหน้าที่ทหารหน่วยเฉพาะกิจราชมนู ร้อย ร.431 ออกลาดตระเวนชายแดนไทย-เมียนมาร์ บริเวณช่องทางธรรมชาติติดแม่น้ำเมย หมู่ที่ 4 บ้านวังแก้ว ต.แม่ปะ อ.แม่สอด จ.ตาก ขณะลาดตระเวนพบชายต้องสงสัย คาดว่าเป็นบุคคลต่างด้าว (เมียนมาร์) ถือกระสอบจะเข้าไปในหมู่บ้าน เจ้าหน้าที่เห็นมีพิรุธ จึงจะขอตรวจค้น ชายคนดังกล่าวรีบโยนกระสอบทิ้ง และหนีเข้าป่าไป
จากการเข้าตรวจกระสอบ และเปิดดูพบหมีควาย (Ursus thibetabus) จำนวน 2 ตัว อายุประมาณ 4-5 เดือน ซึ่งหมีควาย เป็น "สัตว์ป่าคุ้มครอง" ตาม พ.ร.บ.สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2562 ถูกบรรจุไว้ในบัญชีเลขที่ 1 (Appendix |1) ตามอนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดพันธุ์สัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้สูญพันธุ์(CITES) และมีสถานภาพมีแนวโน้มใกล้สูญพันธุ์ (VU) ตามบัญชีชนิดพันธุ์ที่ถูกคุกคามขององค์การระหว่างประเทศเพื่อการอนุรักษ์ (IUCN Red List 2016)
เจ้าหน้าที่จึงได้ตรวจยึดสัตว์ป่าของกลางหมีควาย ส่งนำเรื่องราวลงบันทึกประจำวันที่ สภ.แม่สอด จ.ตาก สำหรับสัตว์ป่าของกลางจะได้นำส่งส่วนอนุรักษ์สัตว์ป่า สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 14 (ตาก) เพื่อดูแลตามระเบียบต่อไป
ต่อมาวันนี้ (23 มี.ค.) ทางเพจฯ ได้โพสต์ภาพอัปเดตชีวิต "กองทัพ-น้ำเมย" พร้อมระบุข้อความมีสาระสำคัญว่า #สวัสดีวันหมีโลก... 2 ลูกหมีควาย "กองทัพ" กับ "น้ำเมย" เข้าบ้านใหม่ ที่สถานีเพาะเลี้ยงสัตว์ป่าห้วยขาแข้ง
ภายหลังโพสต์ดังกล่าวเผยแพร่ออกไป ก็มีผู้ใช้เฟซบุ๊กเข้ามากดไลก์ กดแชร์ และคอมเมนต์เป็นจำนวนมาก อาทิ
นี่ก็เป็นเรื่องราวหมีๆ ที่ Nation STORY หยิบมาเล่าในวันนี้ เพื่อชวนท่านผู้อ่านตระหนักการอนุรักษ์หมี เนื่องในวันหมีโลก ด้วยภัยคุกคามตามที่ได้กล่าวไปแล้ว หรืออาจมีปัญหาอื่นๆ ที่เหล่าหมีต้องเผชิญ หากเราปล่อยพวกเขาสูญพันธุ์ไป ก็จะทำให้ระบบนิเวศในธรรมชาติเสียสมดุล สัตว์หรือพืชบางชนิดที่เป็นอาหารของหมี จะมีปริมาณเพิ่มขึ้นอย่างไม่มีขอบเขต ท้ายที่สุดระบบนิเวศแห่งนั้นก็จะถูกทำลายไป
ขอบคุณข้อมูลและภาพจาก :
กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช
ประชาสัมพันธ์ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช
https://www.greenpeace.org/thailand/story/22638/general-polar-bears-facts/
Environman
ศูนย์เฝ้าระวังและติดตามโรคจากสัตว์ป่า สัตว์ต่างถิ่นและสัตว์อพยพ (MoZWE)
https://www.nationtv.tv/news/378786501