เปิดสาเหตุเงินบัตรทอง กทม.หายไปไหนหมด จนเป็นดรามาไม่มีจ่ายคลินิก

กลายเป็นดรามาที่ต่อเนื่องจาก กรณีดรามาปัญหาความเหลื่อมล้ำ ในสิทธิรับการรักษา ของผู้ใช้สิทธิประกันสังคม และผู้ที่ใช้สิทธิบัตรทอง ที่เรื่องเริ่มต้นจากกรณีที่ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ออกมาเปิดเผยประเด็นเกี่ยวกับ สิทธิการเบิกค่ารักษาทันตกรรม ที่ได้เพียงปีละ 900 บาท ไม่เพียงพอต่อการรักษาทันตกรรมที่จำเป็นอย่างครบถ้วน และยังน้อยกว่ากองทุนสุขภาพภาครัฐอื่น ๆ พร้อมเสนอให้กลุ่มผู้ประกันตน "ควรได้รับสิทธิไม่ต่ำกว่าสิทธิบัตรทอง"

แต่สุดท้ายกลับลุกลาม กลายเป็นดรามาของฝั่ง "บัตรทอง" ทั้งประเด็นความยากลำบากของผู้ใช้สิทธิบัตรทอง และฝั่งของสถานพยาบาลผู้ให้บริการในพื้นที่ กทม. ที่ออกมาโอดครวญว่า ทางต้นสังกัดเบี้ยวจ่ายเงิน แถมยังแจกหนี้ให้ไปช่วยใช้แบบงง ๆ ถึงขั้นต้องรวมตัวกันขึ้นป้ายทวงเงิน

 

ล่าสุดเพจดังอย่าง Drama-addict ได้มีการนำเสนอในประเด็นการเบี้ยวจ่ายเงินให้กับสถานพยาบาลบัตรทอง กทม. โดยระบุว่า   

คุณหมอขอความช่วยเหลือมา ฝากถึง กรุงเทพมหานคร รู้จริงสิทธิบัตรทอง สปสช. กทม. กระทรวงสาธารณสุข 

ผมเป็นหมอคนนึงที่ทำงานในคลินิกบัตรทองนี่แหละครับ ตอนนี้มีปัญหา คลินิคที่เข้าโครงการบัตรทองนับร้อย ค้างชำระเงินจาก สปสช. ไม่มีเงินจ่ายให้พวกเขาแบบเต็มจำนวน ตอนนี้ได้ประมาณ 50-70% ซึ่งทำให้งบที่เขามีไม่เพียงพอที่จะดำเนินกิจการต่อไป  ไหนจะค่ายา ค่าน้ำค่าไฟ ค่าอุปกรณ์การแพทย์ ค่าจ้าง บลา ๆ 

คุณหมอที่แจ้งเรื่องมาเล่าว่า มีการประชุมเพื่อหาทางแก้ไขปัญหากันหลายรอบแล้ว แต่ไม่มีความคืบหน้า จะไปฟ้องศาลปกครองเรื่องก็ยังไปไม่ถึงไหน จนกลุ่มคลินิคนับร้อยแห่งที่ว่าต้องออกมาแขวนป้ายร้องเรียนกัน 

ซึ่งถ้าปัญหาค้างจ่ายยังดำเนินต่อไปเรื่อย ๆ สุดท้าย คลินิคเหล่านี้ดำเนินกิจการต่อไม่ไหว ต้องปิดตัวลง สุดท้ายคนที่เดือดร้อน ก็คือ ปชช. นั่นเอง

ฝากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแก้ไขปัญหาด้วย

ถ้าสื่อสนใจจะคุยกับคุณหมอที่เจอปัญหาเหล่านี้ทักมาเลย 

อนึ่ง เห็นรัฐบาลจะทำ 30 บาทพลัสให้ดีขึ้น อันนี้เรื่องดี

แต่ถ้าไม่แก้ปัญหานี้ แล้วคลินิคที่ให้บริการประชาชนในระดับรากหญ้า ตุยเย่หมด อันนี้จะแย่เอาและจะกระทบภาพรวมของ 30 บาท เยอะนะครับ

 

ขณะที่เพจเฟซบุ๊ก สมาคมคลินิกชุมชนอบอุ่น ได้มีการแชร์ข่าวของ thaipbs วานนี้ (7 ก.พ. 67) ที นพ.พินัย ล้วนเลิศ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านการแพทย์ และสาธารณสุข กองทุนหลักประกันสุขภาพ กทม. ระบุว่า  ขณะนี้ปัญหาการขาดสภาพคล่องจากการบริการของ สปสช. ในพื้นที่ กทม. เริ่มชัดเจน หลังมีการเปลี่ยนแปลงจากการจ่ายเงินแบบรายหัว เป็นรายการการให้บริการ ในปี 2564 ซึ่งในปีงบประมาณ 2566 มีการตั้งวงเงิน 2,685 ล้านบาท จากเงินประชากรบัตรทอง 2.52 ล้านคน จ่ายให้หน่วยปฐมภูมิ 365 แห่ง 

แต่กลับพบว่า มียอดเรียกเก็บจากการบริการรับส่อต่อ OP refer ถึง 1,900 ล้านบาท และยังต้องจ่ายให้หน่วยปฐมภูมิ 1,345 ล้านบาท ทำให้ขาดเงินและงบประมาณไม่เพียงพอถึง 560 ล้านบาท ที่ผ่านมา ทาง สปสช.มีจ่ายเงินให้กับคลินิก ในการให้บริการผู้ป่วยนอก 70% เท่านั้น


ขณะที่ นางศรินทร สนธิศิริกฤตย์ เจ้าของคลินิกเวชกรรมอารีรักษ์ คลองเตย กล่าวว่า เคยเข้าร่วมทำ รพ.สนามคลองเตย เมื่อช่วงสถานการณ์โควิด-19 ต่อมาจึงมีแนวคิดเปิดคลินิก เมื่อ 1 ก.พ. 2566 เพื่อให้ความช่วยเหลือประชาชนในพื้นแออัดในพื้นที่คลองเตย เพื่อให้บริการผู้ที่ขาดโอกาสทางสุขภาพอย่างเท่าเทียม โดยผู้ใช้บริการส่วนใหญ่เป็นคนในสิทธิหลักประกันสุขภาพ และสิทธิ์บริการอื่นเพียง 5%

โดยเม็ดเงินที่หมุนเวียนในคลินิกมาจาก สปสช.เป็นหลัก แต่เมื่อเริ่มเปิดคลินิกพบว่า มีปัญหาคือ ไม่สามารถเรียกเก็บค่าใช้จ่ายจาก สปสช. ได้เต็มจำนวน มีการจ่ายเพียง 70% ของยอดเรียกเก็บ และ สปสช.แจ้งว่าจะพิจารณาจัดสรรเงินให้กับคลินิกแบบเต็มจำนวน หลังเดือน ก.ย.2566

นางศรินทร กล่าวว่า ที่ผ่านมา คลินิกต้องแบกภาระขาดทุนเดือนละ 200,000 บาท โดยค่าใช้จ่ายจริงที่คลินิกอยู่ที่เดือนละ 500,000-700,000 บาท เป็นค่าตอบแทนแพทย์ - พยาบาล - นักวิชาการสาธารณสุข 450,000 บาท ที่เหลือเป็นค่ายา และเวชภัณฑ์ รวมทั้งปัญหาการส่งต่อคนไข้ไปโรงพยาบาลขนาดใหญ่ด้วย 

นอกจากนี้ยังมีปัญหาการให้ผู้ป่วยนอกไปรับยาที่จุดบริหารไหนก็ได้ หรือ OPD ANYWHERE ทำให้ตั้งแต่เปิดคลินิกมาขาดทุนไปแล้ว 10 ล้านบาท จึงอยากให้ สปสช.มาพูดคุยและแก้ปัญหาอย่างจริงจัง


ขอบคุณข้อมูล : เพจเฟซบุ๊ก Drama-addict 
เพจเฟซบุ๊ก สมาคมคลินิกชุมชนอบอุ่น