
เป็นอีกหนึ่งสถานที่เช็กอินสุดฮิต และถ่ายภาพสุดชิค ของบรรดานักเที่ยว ที่เดินทางไปยังจังหวัดเชียงใหม่ สำหรับ "ประตูท่าแพ" และ "ข่วงประตูท่าแพ" กำแพงเมืองโบราณ ที่ตั้งอยู่กลางเมืองเชียงใหม่ จังหวัดที่เมืองท่องเที่ยวสำคัญของประเทศไทย และยังเป็นศูนย์กลางของอาณาจักรล้านนา ที่มีอายุมากกว่า 700 ปี
อย่างไรก็ตาม ได้มีเรื่อง "ช็อตฟีล" เกี่ยวกับ "ประตูท่าแพ" ที่ผู้คนมักไปถ่ายรูป เวลาที่ไปเยือนจังหวัดเชียงว่า แท้จริงแล้ว ประตูแห่งนี้ ไม่ใช่ของโบราณ ตามที่หลายคนเข้าใจ จนชาวเน็ตมีการแชร์และแสดงความคิดเห็นเป็นอย่างมาก เมื่อเพจเฟซบุ๊ก เชียงใหม่ที่คุณไม่เคยเห็น ได้มีการโพสต์ภาพและข้อมูลเกี่ยวกับ "ประตูท่าแพ" ว่า
โครงการก่อสร้าง ลาน #ประตูท่าแพ เชียงใหม่
#เมื่อ 38 ปี ก่อน โดยยกเลิกสี่แยกไฟแดง
ทุบกำแพงจำลองเก่า สร้างประตู และกำแพงขึ้นมาใหม่
ตามแบบ ภาพถ่ายโบราณร้อยปีก่อน
การก่อสร้างเริ่มวันที่ 29 มกราคม 2529
ด้วยงบประมาณ 2 ล้านบาท
เปรียบเทียบกับ ปัจจุบัน 2567
ที่กลายเป็น แลนด์มาร์ค จุดเช็กอินยอดนิยมกลางเมือง
ภาพนี้ ถ่ายโดยคุณบวร ชุติมา
ขอบคุณเพจ
วสิน อุ่นจะนำ
#เชียงใหม่ที่คุณไม่เคยเห็น
และยังมีการให้ช้อมูลเพิ่มเติมว่า
ภาพเก่าร้อยปีประตูท่าแพ
มักจะมีคนสงสัยว่า ทำไม?
กำแพงเมืองเชียงใหม่ มีสองชั้น
ดูจากแผนที่เก่า
แผนที่นครเชียงใหม่ สมัยพระเจ้าอินทวิชยานนท์ พ.ศ.2436 วาดโดยกรมแผนที่
กำแพง มีแค่ตรงประตู
ก็คือ ประตูท่าแพ มีสองชั้นนั่นเอง
จากแผนที่ ตรงประตูเข้าเมือง
ก็ไม่ได้ตรงกับกำแพงเมือง
เหมือนกำแพงจำลองลานประตูท่าแพ
ในปัจจุบัน แต่ยื่นออกมา แปลน
เหมือนกล่องสี่เหลี่ยม
ที่ขอบภาพถ่ายรูปนี้
มีคำอธิบายว่า “Thai P้hae Outer Gate of Chiang Mai’s Wat San Fang as seen in 1910์" ภาพนี้ถ่ายโดยนายบุญมา ภิญโญ
แห่ง บุญมาสตูดิโอ
(ขอขอบคุณรูปภาพจาก WWW.Teakdoor.com/famous threads/39970)
สามสิบปีมาแล้ว ที่ประตูท่าแพ และ ข่วงประตูท่าแพ
ถูกสร้างขึ้น ต้องใช้คำว่า "สร้างขึ้น"
เพราะสร้างขึ้นใหม่จริงๆ ไม่ได้บูรณะ
แต่คนเชียงใหม่ปัจจุบันลืมหมดแล้วว่า
อะไรเกิดขึ้น
เดิมทีเมืองเชียงใหม่โบราณมีกำแพงเมืองก่ออิฐ ป้อม และประตูเมืองชั้นใน 5 ประตู
ในราว พ.ศ. 2460 ความศิวิไลซ์
แพร่ขยายสู่เมืองเชียงใหม่
มีรถยนต์และความเจริญเติบโตของบ้านเมือง
มีมากขึ้น กำแพงเมืองถูก
กระทรวงธรรมการสมัยนั้น
ประมูลขายอิฐ จึงถูกรื้อถอนลง
เหลือแต่แจ่ง 4 แจ่ง และประตูเมือง
ก็ถูกรื้อลงหมดเพื่อขยายถนนกว้าง
สำหรับรถยนต์วิ่งได้สะดวก
ต่อมาราว พ.ศ. 2490 เศษๆ
เทศบาลเมืองเชียงใหม่ขณะนั้น ได้ออกแบบ
(ออกแบบใหม่ ไม่มีหลักฐานและรูปแบบโบราณเลย)
และสร้างประตูเมืองขึ้นใหม่
เพื่อให้บ้านเมืองสวยงาม
(นายช่าง ทองหยด จิตตะวีระ ผู้ออกแบบ)
คือ ประตูเมือง 4 ประตูทุกวันนี้
ยกเว้นประตูท่าแพ
สรุปแล้วประตูเมืองเชียงใหม่
ที่ปรากฏล้วนแต่เป็นสิ่งก่อสร้างใหม่
ไม่ใช่โบราณสถาน
ใน พ.ศ. 2527 - 2528
ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่สมัยนั้น
(คุณชัยยา พูนศิริวงศ์)
สร้างประตูท่าแพและข่วงท่าแพขึ้นใหม่
ผู้ว่าฯชัยยาท่านเป็นชาวเชียงใหม่
เป็นสถาปนิกที่เคยเป็นผู้อำนวยการ
สำนักผังเมืองฯ เป็นคนรักบ้านเมือง
ตลอดเวลาที่เป็นผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่
ทุก ๆ ปีท่านจะทอดผ้าป่าเพื่อบูรณะวัดในเมืองเชียงใหม่ ที่มีคุณค่าทางวัฒนธรรม โดยไม่ใช้งบประมาณราชการใด ๆ
ตัวอย่าง วิหารวัดปราสาท วิหารวัดต้นเกว๋น ฯลฯ
ก็ล้วนผลงานของท่าน
พ.ศ.2527 มีคนเก่าแก่ของเชียงใหม่
มอบภาพเก่าประตูท่าแพให้ท่าน
ทำให้ท่านผู้ว่าฯ ชัยยา พูนศิริวงศ์
มีดำริที่จะสร้างประตูท่าแพขึ้นใหม่
ให้เป็นรูปแบบถูกต้องตามโบราณ
(ไม่ใช่ประตูปลอม เช่นทุกวันนี้)
จึงมอบหมายให้ทีมงานกรมศิลปากรขณะนั้น
ถอดแบบและออกแบบให้
(ซึ่งรูปแบบที่สร้างปัจจุบัน ลดขนาดและความสูงลงมาก
เพราะสภาพแวดล้อมปัจจุบันต่างไปจากอดีต)
การก่อสร้างประตูท่าแพและข่วงประตูท่าแพ
เริ่มขึ้นใน พ.ศ.2528
โดยขออนุญาตกรมศิลปากร
เพราะที่ดินเป็นเขตโบราณสถาน
และไม่ได้ใช้งบประมาณของทางราชการใด ๆ
โดยท่านระดมเงินทุนจากภาคประชาชน
และเอกชนชาวเชียงใหม่มาดำเนินการทั้งหมด
กำแพงเมือง สร้างจำลอง ที่เหมือนกันทุกสี่มุมเมือง
ถูกทุบที่ท่าแพ เพื่อทำลานประตูท่าแพในปี 2528
ปัจจุบันเป็นลานกิจกรรม แลนด์มาร์คสำคัญใน เทศกาลลอยกระทง
ปีใหม่ และ สงกรานต์ ของ อำเภอเมือง เชียงใหม่
แฟนตัวยง ส่งภาพมาเล่าว่า
เพิ่งทราบจริงๆ ว่าภาพ #ประตูเมืองเชียงใหม่โบราณที่เห็นจนชินตา
คือที่ไหนกันแน่
พอได้อ่านเรื่องราวที่ช่วงนี้ที่คนพูดถึง
ประตูกรอบเมืองเชียงใหม่ reach the point ว่าคือ "ประตูท่าแพชั้นนอก"
ถัดจากคลองแม่ข่า และ กำแพงดิน
แถว วัดแสนฝาง
(วิมลท่าแพ และ โรงแรมท่าแพอินน์)
ก่อนจะเดินเท้าเข้าไปอีกซักระยะ
ถึงจะเป็น "ประตูท่าแพชั้นใน"
(ประตูท่าแพ แลนมาร์ค ที่ผู้คนรู้จักดี) นั่นเอง ...
ประตูท่าแพชั้นในจำลองจาก
ประตูท่าแพชั้นนอก
ข้อมูลมรดกโลก เชียงใหม่
จากคุณ วรพรรธน์ ชุติมา อายุ 40 ปี
กล่าวว่า
ผม เป็น หลานของคุณบวร ชุติมา
ที่ถ่ายรูปการก่อสร้างประตูท่าแพเมื่อปี 2529
คุณพ่อผมเป็นลูกคนเดียว
ของคุณบวร-คุณอุณณ์ ชุติมา ครับ
ใน post ข้างต้น มีบางท่านกล่าวถึง การขอขึ้นทะเบียนมรดกโลก
ผมในฐานะ กรรมการผู้ช่วยเลขานุการ คณะกรรมการอำนวยการขับเคลื่อนเชียงใหม่มรดกโลกของ UNESCO จะขออนุญาต update ความคืบหน้าของโครงการให้ Page เชียงใหม่ฯ ตามหนังสือที่ผมนำเรียน ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี เศรษฐา ทวีสิน เมื่อวันที่ 14 พย 66 และทางท่านปลัดกระทรวงวัฒนธรรมได้ตอบหนังสือผมกลับมาเมื่อวันที่ 16 มค 67
ตอนนี้เหลือเวลา ประมาณ 1 ปี (30 มค 68) จะครบกำหนด 10 ปี ที่ทาง UNESCO กำหนดไว้ ทั้งนี้ ผมขอยกข้อความของอาจารย์ผู้ใหญ่ในทีมขับเคลื่อนฯ ที่ทำเรื่องนี้มาตั้งแต่ต้นใน ปล. ด้านล่าง
หากทาง Admin Page เชียงใหม่ฯ ต้องการข้อมูลเพิ่มเติม เพื่อสร้างความรับรู้ให้กับชาวเชียงใหม่ และผู้สนใจเพิ่มเติม สามารถติดต่อผมมาได้
ขอบคุณครับ
วรพรรธน์ ชุติมา
===============
มรดกโลกไม่ใช่แค่เขียน แผนงานเตรียมการณ์และปฏิบัติการอย่างจริงจังต้องเกิดขึ้น เราเริ่มต้นไม่ใช่ต้องการนักท่องเที่ยวเพิ่ม แต่ต้องการนักท่องเที่ยวคุณภาพ
แผนในการรับมือนักท่องเที่ยว
แผนให้คนอยู่ในเมืองอย่างภาคภูมิใจโดยไม่ย้ายออก คือหัวใจหลักของการทำงาน
มิใช่แค่คำว่า “มรดกโลก” เพราะชื่อเต็มคือ “การปกป้องคุ้มครองมรดกโลก”
เหมือนดังที่พูดมาตั้งแต่วันแรกที่ทำงาน หากจังหวัดต้องการจริงๆ ต้องมีการทำงานเชิงรุกควบคู่กัน อันนี้น่าห่วงมากกว่า เพราะตอนทำแรกๆ เราเก็บคนในเมืองไม่ให้ขายบ้านเก่าออกไปอยู่ภายนอกได้จำนวนมาก แต่ขณะนี้ไม่ได้ทำมาหลายปี สถานการณ์เปลี่ยนไปมากแล้ว
จังหวัดและหน่วยงานรวมถึงเอกชนต้องวางกลยุทธ์จังหวัดเพื่อเคลื่อน และปกป้องกันอย่างจริงจังลำพังให้กระทรวงวัฒนธรรม กรมศิลป์ ชาวบ้าน ทำกันไป ก็ได้ระดับหนึ่งเท่านั้น
ทั้งนี้ เชียงใหม่ที่คุณไม่เคยเห็น ยังให้ข้อมูลเกี่ยวกับประตูเมืองเชียงใหม่โบราณเพิ่มเติมอีกด้วยว่า
แฟนเพจ ส่งภาพมาเล่าว่าเพิ่งทราบจริงๆ
ว่าภาพ #ประตูเมืองเชียงใหม่โบราณ ภาพเก่าร้อยปี
ที่เห็นจนชินตาคือที่ไหนกันแน่
พอได้อ่านเรื่องราวที่ช่วงนี้ที่คนพูดถึง
ประตูกรอบเมืองเชียงใหม่ reach the point
ว่าคือ " #ประตูท่าแพชั้นนอก"
ถัดจากคลองแม่ข่า และ กำแพงดิน
แถว วัดแสนฝาง
(วิมลท่าแพ และ โรงแรมท่าแพอินน์)
ก่อนจะเดินเท้าเข้าไปอีกซักระยะ
ถึงจะเป็น "ประตูท่าแพชั้นใน"
(ประตูท่าแพ #แลนมาร์ค ที่ผู้คนรู้จักดี) นั่นเอง ...
ประตูชั้นใน เดิมชื่อ #เชียงเรือก จำลองจาก
ภาพโบราณของ
#ประตูท่าแพชั้นนอก
สังเกตุจาก ประตูสองชั้น ตามแผนที่โบราณ
แฟนเพจ จำที่มาไม่ได้แล้ว
ใครมีลิงก์ต้นทาง บ้างครับ
#เชียงใหม่ที่คุณไม่เคยเห็น
ขณะที่ เพจเฟซบุ๊ก Banna Garage ได้มีการให้ข้อมูลเกี่ยวกับประตูท่าแพ ที่สรุปมาจากเพจ เชียงใหม่ที่คุณไม่เคยเห็น ว่า
เอาภาพและบทความมาให้อ่านเป็นประวัติ อาจจะตรงหรอคาดเคลื่อนบ้าง จากต้นทาง โปรดอ่านและใช้วิจารณญาณ
สามสิบปีมาแล้ว ที่ประตูท่าแพ และ ข่วงประตูท่าแพ
ถูกสร้างขึ้น ต้องใช้คำว่า "สร้างขึ้น"
เพราะสร้างขึ้นใหม่จริงๆ ไม่ได้บูรณะ
แต่คนเชียงใหม่ปัจจุบันลืมหมดแล้วว่า
อะไรเกิดขึ้น
เดิมทีเมืองเชียงใหม่โบราณมีกำแพงเมืองก่ออิฐ ป้อม และประตูเมืองชั้นใน 5 ประตู
ในราว พ.ศ. 2460 ความศิวิไลซ์
แพร่ขยายสู่เมืองเชียงใหม่
มีรถยนต์และความเจริญเติบโตของบ้านเมือง
มีมากขึ้น กำแพงเมืองถูก
กระทรวงธรรมการสมัยนั้น
ประมูลขายอิฐ จึงถูกรื้อถอนลง
เหลือแต่แจ่ง 4 แจ่ง และประตูเมือง
ก็ถูกรื้อลงหมดเพื่อขยายถนนกว้าง
สำหรับรถยนต์วิ่งได้สะดวก
ต่อมาราว พ.ศ. 2490 เศษๆ
เทศบาลเมืองเชียงใหม่ขณะนั้น ได้ออกแบบ
(ออกแบบใหม่ ไม่มีหลักฐานและรูปแบบโบราณเลย)
และสร้างประตูเมืองขึ้นใหม่
เพื่อให้บ้านเมืองสวยงาม
(นายช่าง ทองหยด จิตตะวีระ ผู้ออกแบบ)
คือ ประตูเมือง 4 ประตูทุกวันนี้
ยกเว้นประตูท่าแพ
สรุปแล้วประตูเมืองเชียงใหม่
ที่ปรากฏล้วนแต่เป็นสิ่งก่อสร้างใหม่
ไม่ใช่โบราณสถาน
ใน พ.ศ. 2527 - 2528
ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่สมัยนั้น
(คุณชัยยา พูนศิริวงศ์)
สร้างประตูท่าแพและข่วงท่าแพขึ้นใหม่
ผู้ว่าฯชัยยาท่านเป็นชาวเชียงใหม่
เป็นสถาปนิกที่เคยเป็นผู้อำนวยการ
สำนักผังเมืองฯ เป็นคนรักบ้านเมือง
ตลอดเวลาที่เป็นผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่
ทุก ๆ ปีท่านจะทอดผ้าป่าเพื่อบูรณะวัดในเมืองเชียงใหม่ที่มีคุณค่าทางวัฒนธรรมโดยไม่ใช้งบประมาณราชการใด ๆ
ตัวอย่าง วิหารวัดปราสาท วิหารวัดต้นเกว๋น ฯลฯ
ก็ล้วนผลงานของท่าน
พ.ศ.2527 มีคนเก่าแก่ของเชียงใหม่
มอบภาพเก่าประตูท่าแพให้ท่าน
ทำให้ท่านผู้ว่าฯชัยยา พูนศิริวงศ์
มีดำริที่จะสร้างประตูท่าแพขึ้นใหม่
ให้เป็นรูปแบบถูกต้องตามโบราณ
(ไม่ใช่ประตูปลอม เช่นทุกวันนี้)
จึงมอบหมายให้ทีมงานกรมศิลปากรขณะนั้น
ถอดแบบและออกแบบให้
(ซึ่งรูปแบบที่สร้างปัจจุบัน ลดขนาดและความสูงลงมาก
เพราะสภาพแวดล้อมปัจจุบันต่างไปจากอดีต)
การก่อสร้างประตูท่าแพและข่วงประตูท่าแพ
เริ่มขึ้นใน พ.ศ.2528
โดยขออนุญาตกรมศิลปากร
เพราะที่ดินเป็นเขตโบราณสถาน
Cr: เชียงใหม่ที่คุณไม่เคยเห็น
ซึ่งภายหลังจากที่ โพสต์เกี่ยวกับข้อเท็จจริงของ "ประตูท่าแพ" ถูกเผยแพร่ ได้มีชาวเน็ตจำนวนมาก เข้ามาแสดงความคิดเห็น โดยส่วนมากรู้สึกตกใจ ที่รู้ว่า "ประตูท่าแพ" นั้นไม่ใช้ของโบราณ แม้กระทั่งเป็นคนเชียงใหม่เอง บางคนก็ยังไม่รู้ว่า เป็นของใหม่ที่เพิ่งสร้างขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ แต่ส่วนมากก็ขอบคุณที่สร้างขึ้นมา เพื่อเป็นสัญลักษณ์ของเมือง รวมถึงชื่นชมวิสัยทัศน์ของผู้ริเริ่มโครงการ รวมถึงขอบคุณที่นำข้อมูลมาเผยแพร่ ขณะที่บางส่วนก็แซวไม่ได้ว่า ทิ้งไว้ไปเรื่อยเดี๋ยวก็โบราณเอง
สำหรับข้อมูลของ "ประตูท่าแพ" นั้นทาง วิกิพีเดีย ได้ให้ข้อมูลไว้ว่า
ประตูท่าแพ (ชั้นใน) หรือชื่อเดิม ประตูเชียงเรือก เป็นประตูทางทิศตะวันออก และเป็น 1 ใน 5 ประตูเมืองชั้นในของเวียงเชียงใหม่ ปัจจุบันเป็นประตูเมืองเพียงแห่งเดียวที่มีบานประตู
โดยประวัติประตูท่าแพ (ชั้นใน) เดิมเป็นประตู 2 ชั้น วางตำแหน่งเยื้องกัน และมีป้อมยื่นออกมาข้างประตูเมือง เพื่อใช้เป็นปราการป้องกันเมืองยามศึกสงครามในอดีต ดังปรากฏในแผนที่เมืองนครเชียงใหม่ พ.ศ. 2436 ในรัชสมัยพระเจ้าอินทวิชยานนท์
ประตูท่าแพซึ่งตั้งอยู่ในปัจจุบันนี้ เทศบาลนครเชียงใหม่และกรมศิลปากร ได้ร่วมกันสร้างขึ้นมาใหม่ เมื่อปี พ.ศ. 2528 โดยอาศัยหลักฐานทางประวัติศาสตร์และโบราณคดี ประกอบกับภาพถ่ายประตูเมืองเชียงใหม่ประตูหนึ่ง (ปัจจุบันสันนิษฐานเป็นประตูท่าแพชั้นนอก บริเวณวัดแสนฝาง ซึ่งถ่ายเมื่อปี พ.ศ. 2422
ประตูท่าแพที่ถูกเรียกกันในปัจจุบันนั้น แท้จริงมีนามว่า "ประตูเชียงเรือก" เพราะอยู่ใกล้หมู่บ้านเชียงเรือก สร้างขึ้นครั้งแรกในรัชสมัยพญามังราย เมื่อแรกตั้งเมืองเชียงใหม่ในปี พ.ศ. 1839 ส่วนประตูท่าแพของจริงนั้น เดิมเคยตั้งอยู่บริเวณสี่แยกวัดแสนฝาง ซึ่งเป็นประตูของแนวกำแพงเมืองชั้นนอก ต่อมาเมื่อมีการรื้อแนวกำแพงชั้นนอกออก จึงเหลือแต่ประตูเชียงเรือก ที่เป็นประตูชั้นใน ชาวบ้านจึงเรียกประตูเชียงเรือกนี้ว่าประตูท่าแพแทน
ในสมัยโบราณ คำว่า "เชียง" หมายถึง "เวียง" หรือ "เมือง" ส่วนคำว่า "เรือก" นั้นมีความหมายอีกอย่างหนึ่งว่า เรือ หรือ เฮือ ซึ่งหมายถึง พาหนะที่ใช้เดินทางไปมาทางแม่น้ำ คู ครอง ฝายเหมือง เป็นต้น ดังนี้ คำว่า "เชียงเรือก" หากพูดเป็นภาษาชาวบ้าน ก็อาจแปลออกมาได้เป็นเชียงเรือ หรือเวียงเรือ ซึ่งก็หมายถืงเมืองของเรือ ที่ขายของทางเรือ หรือสถานที่มีเรือมากก็ว่าได้ เหตุนี้ในสมัยต่อมาจึงถูกเรียกว่าท่าแพ ซึ่งก็มีความหมายเดิม คือที่จอดแพหรือเรือ มีความหมายเดียวกันคือ เมืองของเรือ ที่ขายของทางเรือ หรือสถานที่มีเรือมาก
ขอบคุณข้อมูล : วิกิพีเดีย
เพจเฟซบุ๊ก เชียงใหม่ที่คุณไม่เคยเห็น
เพจเฟซบุ๊ก Banna Garage