
21 ธันวาคม 2566 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ทนายเกิดผล แก้วเกิด โพสต์เฟซบุ๊ก ภายหลังศาลจังหวัดมุกดาหาร พิพากษาจำคุกนายไชย์พล วิภา หรือ ลุงพล 20 ปี ว่า คดีลุงพล ยังมีลุ้นในชั้นอุทธรณ์ ด้วยเหตุผลดังนี้
1. ในคดีที่พนักงานอัยการฟ้องข้อหาร้ายแรง คือ เจตนาฆ่า ศาลชั้นต้นก็ไม่ได้ลงโทษในข้อหาดังกล่าว แต่ลงโทษข้อหาประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย แสดงว่าโจทก์ไม่มีพยานหลักฐานใดๆ ที่เป็นประจักษ์พยานมานำสืบให้เห็นว่า จำเลยมีเจตนาฆ่าน้องชมพู่
2. ศาลรับฟังพยานหลักฐาน ที่เป็นโทษแก่จำเลย ยิ่งกว่าส่วนที่เป็นคุณ โดยอาศัยพยานหลักฐาน ทางนิติวิทยาศาสตร์เพียงบางส่วน เช่น เส้นผมผู้ตายที่ถูกตัดแล้วปรากฏในรถของจำเลย และ พิรุธจากถ้อยคำการกล่าวอ้าง เรื่องฐานที่อยู่ ที่เลื่อนลอย และ ขัดแย้งกับข้อเท็จจริง ที่เป็นโทษต่อจำเลยเอง
3. คดีนี้อธิบดีผู้พิพากษาภาค 4 และผู้พิพากษาหัวหน้าศาลจังหวัดมุกดาหาร ตรวจสำนวนและทำความเห็นแย้งว่า พยานหลักฐานของโจทก์และโจทก์ร่วมทั้งสองมีข้อสงสัยตามสมควร ต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลยที่ 1 เห็นควรพิพากษายกฟ้อง
แสดงว่ายังมีผู้พิพากษาระดับหัวหน้าศาล และอธิบดีผู้พิพากษาภาค 4 เห็นแย้งในปัญหาข้อเท็จจริง และพยานหลักฐาน แตกต่างจากองค์คณะศาลชั้นต้น ว่า คดีนี้ควรยกฟ้อง
ดังนั้น ลุงพลยังพอมีลุ้นต่อในศาลอุทธรณ์ ส่วนอัยการ ผมเชื่อว่าน่าจะอุทธรณ์ในประเด็นเจตนาฆ่า เพราะว่าการทอดทิ้งเด็กไว้ลำพัง โดยไม่มีอาหารและน้ำ ปราศจากผู้ดูแล #ย่อมเล็งเห็นได้ว่าเด็กอาจเสียชีวิตเพราะขาดอาหาร หรือ สัตว์ทำร้าย จนถึงแก่ความตายได้ต้องติดตามในชั้นอุทธรณ์ต่อไป