เปิด 3 จุดบริการทำบัตรประชาชนสถานีรถไฟฟ้า BTS สุดแสนสะดวกสบาย  

ต้องยอมรับเลยว่าตั้งแต่โควิด-19 แพร่ระบาด ส่งผลให้คนต้องปรับเปลี่ยนการใช้ชีวิตในทุกด้าน ไม่ว่าจะการเรียน การทำงาน การเดินทาง การท่องเที่ยว หรือแม้แต่การทำธุรกรรมต่าง ๆ ก็ต้องมีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบบางอย่างไปเพื่อลดอัตราการแพร่ระบาดให้ได้มากที่สุด นอกจาก การต่อใบขับขี่ออนไลน์ ที่ช่วยเพิ่มความสะดวกให้กับประชาชนได้แล้ว 

ภายในสถานีรถไฟฟ้า BTS ก็ได้เปิดให้บริการด้วยเช่นกัน (ลดจำนวนสถานีที่เปิดให้บริการ) เพื่อให้ตอบโจทย์การทำบัตรประชาชนแบบ New Normal รวมทั้งสิ้น 3 ที่ทำบัตรประชาชนสถานีรถไฟฟ้า จะมีสถานีไหนใกล้บ้านคุณบ้าง

วันนี้ ทีมข่าวได้รวบรวมข้อมูลอัปเดตในปี 2566 มาฝากกันตรงนี้ จุดบริการที่ทำบัตรประชาชนบน BTS เปิดบริการอีกครั้ง ไม่ต้องลางานอีกต่อไป

โดยบริการนี้ ช่วยเพิ่มความสะดวกและบรรเทาความเดือดร้อนให้กับประชาชนที่ต้องการทำบัตรใหม่ โดยประชาชนสามารถทำบัตรประชาชนได้ทุกกรณี

ยกเว้น! กรณีทำบัตรหายหรือบัตรประชาชนหมดอายุเกิน 1 ปี และทำบัตรประชาชนครั้งแรกตอนอายุ 15 ปี เกินตั้งแต่ 1 วันเป็นต้นไป

สำหรับสถานีรถไฟฟ้า BTS ที่เปิดให้บริการด่วนมหานคร มีดังนี้

ล่าสุดในปี 2566 นี้ ก็มีการเปลี่ยนแปลงสถานที่ตั้งจุดบริการเกิดขึ้น ซึ่งทางด้านเพจเฟซบุ๊ก รถไฟฟ้าบีทีเอส ก็ได้ระบุข้อความอัปเดตว่า จุดบริการด่วนมหานคร (Bangkok Express Service) บนสถานีบีทีเอส มีดังนี้

• สถานีรถไฟฟ้าอุดมสุข
  
  ส่วนสถานีรถไฟฟ้าสยาม เขตปทุมวัน ย้ายไปศูนย์การค้า MBK เวลาเปิดทำการ 10.30 – 18.30 น. (ปิดรับบัตรคิว 18.00 น.)
  โดยเวลาทำการของสถานีอื่น ๆ ได้แก่
  จันทร์ – ศุกร์ : 10.00 – 19.00 น.
  เสาร์ – อาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์ : 10.00 – 18.00 น.

จองคิวล่วงหน้าได้ผ่านแอป BMA Q เพื่อความสะดวกรวดเร็ว โดยสามารถตรวจสอบจำนวนคิวได้แบบ Real Time ได้ด้วยเช่นกัน

• สถานีรถไฟฟ้าวงเวียนใหญ่
• สถานีรถไฟฟ้าหมอชิต

ขอขอบคุณข้อมูลจาก : รถไฟฟ้าบีทีเอส

ไขข้อสงสัย..ทำบัตรประชาชนบนสถานีรถไฟฟ้าได้

คำนี้ หลายคนอาจจะเคยได้ยิน หรือได้ยินมามานานหลายปี แต่ไม่เคยสนใจเลยว่า มันทำที่ไหน อย่างไร จึงได้พบข้อมูลว่า ต้องจองผ่านแอปพลิเคชั่น BMAQ อันเป็นแอปพลิเคชั่นของกรุงเทพมหานครโดยตรง เมื่อได้ทราบเช่นนั้น ก็ทำการดาวน์โหลดลงโทรศัพท์มือถือไว้ทันที แต่การทำบัตรบนสถานีรถไฟฟ้า จะไม่รับทำกรณีบัตรสูญหาย ต้องจำตรงนี้ให้ขึ้นใจ

หลังดาวน์โหลดมาแล้ว กดเปิดเข้ามาก็จะมีเพียงสองปุ่มให้กดเลือก คือ ตรวจสอบจำนวนผู้ใช้บริการ และ นัดล่วงหน้า เรียกว่าไม่ต้องกดสมัครอะไรให้วุ่นวาย คนที่ไม่สันทัดในเรื่องเทคโนโลยี ก็สามารถเข้าใจได้ง่าย

อันดับแรก ก็ทำการกดที่ปุ่ม นัดล่วงหน้า และจะปรากฎสถานที่ต่าง ๆ อันเป็นจุดบริการภาครัฐในพืน้ที่กรุงเทพมหานคร ก็ทำการเลือกในพื้นที่ที่สะดวกในการเดินทางไป (บทความนี้ จะเลือกที่ สถานีรถไฟฟ้า BTS อุดมสุข)

ต่อมา จะปรากฎอีกหน้า ก็ให้เลือกบริการ บัตรประจำตัวประชาชน จากนั้นก็เข้าสู่หน้าเลือกคิววัน-เวลาที่ว่าง ซึ่งจะมีบอกชัดเจนว่า วันไหน เวลาใดที่เต็มและว่างบ้าง เมื่อได้วันที่ต้องการ ก็ทำการกดเลือกวันนั้น ๆ

จากนั้นก็จะเป็นข้อมูลการบริการที่เราเลือก เมื่อตรวจสอบชัดเจนแล้ว ก็ทำการกดรับคิวอาร์โค้ด แล้วก็จะแสดงหมายเลขและคิวอาร์โค้ด ทำการกดบันทึกภาพหน้าจอนี้เก็บไว้ในเครื่อง เพื่อใช้เป็นหลักฐานการจอง (ในแอปพลิเคชั่นจะแสดงหลักฐานนี้ไว้ให้จนถึงวันนัดหมาย)

เมื่อถึงวันนัด ก็เดินทางมายังจุดหมายที่เลือกไว้ และไม่ต้องต่อแถวให้เมื่อยกาย เดินเข้าไปยังเคาน์เตอร์ แจ้งเจ้าหน้าที่ว่าทางเราทำการกดจองผ่านแอปพลิเคชั่นไว้ จากนั้นทำการแสดงคิวอาร์โค้ดและหมายเลขบนแอปพลิเคชั่นให้เจ้าหน้าที่ เพื่อยืนยันหลักฐาน แล้วเจ้าหน้าที่จะส่งแบบฟอร์มมาให้กรอกข้อมูล โดยต้องเขียนกำกับเลขจองบนแอปพลิเคชั่น จะช่วยให้เจ้าหน้าที่สามารถค้นหาบันทึกการจองของเราได้อย่างรวดเร็ว โดยจะใช้เวลาไม่เกิน 10 นาที เจ้าหน้าที่ก็จะเรียกตัว ขอบัตรใบเก่าและไปสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม เช่น พ่อแม่ชื่ออะไร ที่อยู่อยู่ที่ไหน อายุเท่าไหร่ ทางที่ดี ควรเหน็บเอาทะเบียนบ้านติดตัวไปด้วย ในกรณีที่เราจำที่อยู่ไม่ได้จริง ๆ

เมื่อเสร็จสิ้นกระบวนการตรวจสอบข้อมูล ก็รอการเรียกชื่อ เพื่อไปถ่ายรูป เมื่อเสร็จสิ้นขั้นตอนนี้ ก็ยืนรออีกไม่เกิน 10 นาที เจ้าหน้าที่จะเรียกชื่อให้ไปรับบัตรประชาชนใบใหม่ พร้อมจ่ายค่าธรรมเนียม เป็นเสร็จสิ้นขั้นตอนทุกอย่าง และต้องจดจำไว้ว่า การทำบัตรประชาชนบนรถไฟฟ้า ไม่รับทำกรณีบัตรสูญหาย และบัตรใบเก่าของเราก็ต้องให้เจ้าหน้าที่ยึดไป เพื่อป้องกันการทำบัตรซ้ำซ้อน ข้อนี้ควรจำให้ขึ้นใจ เพราะหากไปโดยไม่รู้ตรงนี้ อาจจะทำให้การเดินทางเสียเที่ยวเปล่าเป็นได้

การทำบัตรประชาชน โดยการจองผ่านแอปพลิเคชั่นของกรุงเทพมหานคร ก็ถือเป็นวิธีที่สะดวก รวดเร็ว อีกทั้งยังช่วยให้สามารถจัดแจงเวลาในชีวิตได้ อีกทั้งยังช่วยให้เจ้าหน้าที่สามารถบริการได้อย่างเต็มที่และเป็นขั้นตอนมากขึ้น อีกทั้งวิธีนี้ จะช่วยให้การทำงานของภาครัฐเป็นระเบียบ มีประสิทธิภาพและส่งผลดีต่อประชาชน