
"อาการของทูเร็ตต์" จะเกิดขึ้นเองทันที ไม่ได้เกิดจากยาหรือสารกระตุ้นต่อระบบประสาทหรือโรคทางกายอื่นๆ และส่วนใหญ่มักเกิดอาการซ้ำๆ รวด เร็ว ไม่รู้ตัว และอยู่นอกเหนือการควบคุม หรือหากผู้ป่วยตั้งใจควบคุม จะสามารถทำได้ในช่วงสั้นๆ เท่านั้น
ทำความรู้จัก...โรคทูเร็ตต์คืออะไร ??
โรคทูเร็ตต์ หรือ Tourette syndrome (TS) หมายถึง โรคที่แสดงอาการกระตุกของกล้ามเนื้อหลายๆ มัดพร้อมๆ กัน และ/ร่วมกับมีการเปล่งเสียงออกมาจากลำคอหรือจากจมูก โดยเปล่งเสียงเป็นคำที่มี/ไม่มีความหมาย และเสียงที่เปล่งออกมาอาจเกิดร่วมกับอาการกระตุกของกล้ามเนื้อ หรือเกิดขึ้นต่างช่วงเวลากันได้ ทั้งนี้ อาการของ TS จะเกิดขึ้นเองทันที ไม่ได้เกิดจากยาหรือสารกระตุ้นต่อระบบประสาทหรือโรคทางกายอื่นๆ และส่วนใหญ่มักเกิดอาการซ้ำๆ รวด เร็ว ไม่รู้ตัว และอยู่นอกเหนือการควบคุม หรือหากผู้ป่วยตั้งใจควบคุม จะสามารถทำได้ในช่วงสั้นๆ เท่านั้น
ลักษณะของความรุนแรงหรือตำแหน่งกล้ามเนื้อที่เกิดอาการกระตุกสามารถจะเปลี่ยนแปลงไม่ซ้ำตำแหน่งได้โดย TS เริ่มแสดงอาการในวัยเด็ก (ก่อนอายุ 18 ปี) และเป็นเกือบทุกวัน บางรายเว้นระยะห่างออกไป แต่ไม่เกิน 3 เดือนก็จะมีอาการกลับมาเป็นใหม่ ซึ่งส่งผลต่อบุคลิกภาพ อาจทำให้ถูกล้อเลียน หรือคนใกล้ชิดเกิดความรำคาญ ทำให้ผู้ป่วยขาดความมั่นใจ และมีปัญหาในการปรับตัวและเข้าสังคม
อาการแสดงของโรคนี้ แบ่งได้เป็น 2 แบบ ดังนี้
1. Simple motor tics คือ การกระตุกของกล้ามเนื้อ เช่น กระพริบตา ยักไหล่ สะบัดหัว กำหมัด แสยะยิ้ม เป็นต้น ในบางรายอาจมีอาการกระตุกที่กล้ามเนื้อหน้าท้องได้ แต่พบได้ไม่บ่อยนัก พบบ่อยในเด็กหรือวัยรุ่น และพบในเพศชายมากกว่าหญิง 3-5 เท่า โดยผู้ป่วยอาจไม่รู้ตัวว่าเป็นโรคและไม่สามารถควบคุมได้ อาการจะเป็นมากขึ้นขณะมีความ เครียด วิตกกังวล หรือประหม่า และอาการจะน้อยลงหรือหายไปขณะนอนหลับหรือมีสมาธิกับกิจกรรมบางอย่าง ซึ่ง Motor tics ในกลุ่มนี้มักไม่ก่อให้เกิดปัญหาในการดำรงชีวิต
2. แบบ Tourette syndrome (TS) หรือ Gilles de la Tourette’s syndrome (GTS) ผู้ป่วยจะมีทั้ง Motor tics และ Vocal tics ซึ่ง TS ชนิดนี้มักก่อให้เกิดปัญหาในการดำรงชีวิตเป็นอย่างมาก ทั้งนี้ พบว่าผู้ป่วยมักเริ่มเป็นเมื่ออายุ 5-6 ปี และอาการมักรุนแรงที่สุดเมื่ออายุ 11-12 ปี จากนั้นจะค่อยๆ ลดลงเมื่อผู้ป่วยโตขึ้น จนเมื่ออายุประมาณ 18 ปี ผู้ป่วยประมาณครึ่งหนึ่งสามารถหายได้ โดยอาจมีอาการอยู่บ้าง แต่ผลต่อการดำรงชีวิตลดลง
โรค Tourette syndrome และ Tics เกี่ยวข้องกันอย่างไร
จากการศึกษาข้อมูลของวารสารสมาคมจิตแพทย์แห่งประเทศไทยกล่าวว่า มีรายงานผู้ป่วยทูเร็ตต์เป็นครั้งแรก ณ ประเทศฝรั่งเศส ปี ค.ศ.1885 โดย George Gilles de la Tourette ซึ่งนายแพทย์ท่านนี้ได้อธิบายถึงลักษณะของผู้ป่วยที่มีอาการกระตุกของกล้ามเนื้อ พร้อมเปล่งเสียงคำหยาบคาย (Coprolalia) และพูดทวนคำ (Echolalia) จึงเป็นที่มาของชื่อโรคว่า Tourette ตามชื่อแพทย์
Tics คือ อาการกระตุกซ้ำๆ ของกล้ามเนื้อโดยไม่ได้ตั้งใจ มักเป็นที่ใบหน้า คอ ไหล่ มีอาการขยิบตา กระตุกมุมปาก หน้าผากย่น ยักไหล่ ส่ายหัวไปมา สะบัดคอ ซึ่งถ้ามีอาการกระตุกกล้ามเนื้อตามที่กล่าวมา จะเรียกว่า Motor tics หากผู้ป่วยมีการเปล่งเสียงแปลกๆ เช่น ทำเสียงกระแอม เสียงจมูกฟุดฟิด เสียงคล้ายสะอึก พูดติดอ่างหรือพูดซ้ำๆ เลียนเสียงพูดที่ผิดปกติ เหล่านี้จะเรียกว่า Vocal tics
สาเหตุ
ยังไม่ทราบสาเหตุที่แท้จริงของโรค เชื่อว่ามีปัจจัยด้านพันธุกรรมมาเกี่ยวข้อง หรือมีความไม่สมดุลของสารสื่อประสาทในสมองบางตัว โดยปัจจัยกระตุ้นที่ทำให้อาการเพิ่มขึ้น คือ หวาดกลัว ตกใจ เสียใจ เครียดหรือเหนื่อย
การวินิจฉัย
อาศัยประวัติและอาการแสดงที่พบ ไม่จำเป็นต้องมีการตรวจพิเศษ หรือตรวจเลือดเพิ่มเติม
การรักษา
แพทย์จะให้การรักษาโดยการบำบัดรักษา อาจเป็นรูปแบบการบำบัดความคิดและพฤติกรรม รวมทั้งการรักษาด้วยวิธีอื่นๆ เพื่อควบคุมอาการ เช่น การใช้ยาบางชนิดแบบรับประทาน การฉีด Botulinum toxin เข้ากล้ามเนื้อเพื่อลดอาการกระตุกของตา คอหรือไหล่ เป็นต้น นอกจากนั้นแพทย์อาจสืบค้นความเป็นไปได้ของโรคจิตเวชในเด็กอื่นๆ เช่น โรคสมาธิสั้น โรคย้ำคิดย้ำทำ ซึ่งสามารถพบร่วมกันได้กับ Tourette syndrome
การดำเนินโรค
การรักษา TS ที่เกิดขึ้นในวัยเด็ก จะตอบสนองดีกว่า TS ที่เริ่มเกิดขึ้นในวัยผู้ใหญ่
ข้อสังเกตอาการ มีการกะพริบตาถี่ๆ, ย่นจมูก, กระตุกมุมปาก, สะบัดคอ ไปจนถึงกระโดดตบ หรือบางครั้งมีการเปล่งเสียงออกมาแบบไม่มีความหมาย อาการเหล่านี้อาจดูเป็นเรื่องตลกหรือเรื่องแปลกสำหรับบางคนที่ไม่เข้าใจอาการของ “โรคทูเร็ตต์” ซึ่งเป็นความผิดปกติของระบบประสาท ทำให้ผู้ป่วยมีอาการกล้ามเนื้อกระตุกซ้ำๆ โดยที่เจ้าตัวไม่ได้ตั้งใจ โดยอาการเหล่านี้มีอันตรายถึงขั้น “ทำร้ายตัวเอง” ของผู้ป่วยได้
โรคทูเร็ตต์ (Tourette Syndrome) อยู่ในกลุ่มเดียวกับ โรคติกส์ (Tics) ที่เกี่ยวข้องกับความผิดปกติของระบบประสาท มักพบในเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี ส่วนใหญ่พบในเพศชายมากกว่าเพศหญิง มักมีอาการรุนแรงในช่วงวัยรุ่นตอนต้น แต่อาการมักดีขึ้นเมื่อโตเป็นผู้ใหญ่ และในปัจจุบันยังไม่พบสาเหตุของโรคที่ชัดเจน ผู้ป่วยจะมีอาการ “กล้ามเนื้อกระตุก” และส่งเสียงออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจ ควบคุมตัวเองไม่ได้ โดยทั้ง 2 อาการอาจเกิดขึ้นพร้อมกันหรือเกิดขึ้นเพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง หากมีอาการหนักอาจรบกวนการใช้ชีวิตประจำวันได้
แม้ยังหาสาเหตุที่แน่ชัดของโรคไม่ได้ แต่จากการสันนิฐานทางการแพทย์เชื่อว่า อาจมีสาเหตุจากปัจจัยต่างๆ ดังนี้
- ปัจจัยทางพันธุกรรม หากคนในครอบครัวของผู้ป่วยมีประวัติเป็นโรคนี้อยู่เดิม ก็จะเพิ่มโอกาสการเกิดโรคได้มากขึ้น
- ปัจจัยการทำงานของสมอง จากการศึกษาพบว่าสารสื่อประสาทบางตัว เช่น โดปามีน (Dopamine) มีความไม่สมดุล
- ปัจจัยทางด้านจิตใจ เช่น ความเครียดทางด้านจิตใจ
อาการแบบไหนเข้าข่ายป่วยเป็น “โรคทูเร็ตต์” ?
1. อาการแบบไม่ซับซ้อน มักส่งผลต่อกล้ามเนื้อร่างกายบางส่วน เช่น กะพริบตา ขยิบตา กลอกตา ยักไหล่ ผงกศีรษะ แลบลิ้น ปากกระตุกหรือจมูกกระตุก เป็นต้น
2. การส่งเสียงโดยไม่ได้ตั้งใจแบบไม่ซับซ้อน เช่น เสียงคราง เสียงกระแอมไอ เสียงเห่า อาการสะอึก เป็นต้น
3. อาการกระตุกของกล้ามเนื้อแบบซับซ้อน เช่น สัมผัสหรือดมสิ่งของ ดัดหรือบิดตัว กระโดด เป็นต้น หากอาการหนักผู้ป่วยอาจทำร้ายตัวเองได้
4. การส่งเสียงโดยไม่ตั้งใจแบบซับซ้อน เช่น พูดซ้ำๆ พูดทวนคำผู้อื่น พูดคำหยาบคาย เป็นต้น
หากเด็กป่วยโรคทูเร็ตต์ มีวิธีรักษาอย่างไร
แม้ โรคทูเร็ตต์ จะจัดอยู่ในกลุ่มอาการที่ไม่จำเป็นต้องได้รับการรักษา เนื่องจากผู้ป่วยสามารถจัดการกับอาการและใช้ชีวิตได้ตามปกติ แต่หากมีอาการรุนแรงหรืออาการไม่ดีขึ้นเมื่อโตเป็นผู้ใหญ่ แพทย์อาจพิจารณาให้รักษาด้วยการใช้ยา การทำจิตบำบัด หรือการผ่าตัด ดังนี้
1. การใช้ยา
เพื่อควบคุมหรือบรรเทาอาการของโรค ภายใต้การวินิจฉัยของแพทย์ โดยยาที่แพทย์มักจ่ายให้ ได้แก่
- ยาระงับอาการทางจิต เช่น ยาฮาโลเพอลิดอล ยาฟลูเฟนาซีน ยารักษาโรคฮันติงตัน ซึ่งช่วยยับยั้งสารโดปามีนในสมองและช่วยควบคุมอาการโรคติกส์
- การฉีดโบทอกซ์ ควบคุมอาการกล้ามเนื้อกระตุกและอาการส่งเสียงโดยไม่ได้ตั้งใจ
- ยากระตุ้นระบบประสาทส่วนกลาง เช่น ยาเมทิลเฟนิเดต ช่วยลดอาการของโรคสมาธิสั้นและโรคติกส์
- ยาต้านอะดรีเนอร์จิกในระบบประสาทส่วนกลาง เช่น ยาโคลนิดีน มักใช้ในการรักษาความดันโลหิตสูง ช่วยให้ผู้ป่วยสามารถควบคุมพฤติกรรมที่ไม่ได้ตั้งใจได้
- ยาต้านเศร้า เช่น ยาฟลูออกซิทีน ช่วยควบคุมอาการที่เกิดร่วมกับโรค เช่น พฤติกรรมย้ำคิดย้ำทำ วิตกกังวล และซึมเศร้า
ที่สำคัญยาเหล่านี้อาจส่งผลข้างเคียงทำให้ง่วงซึม น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น และเคลื่อนไหวซ้ำๆ โดยไม่ได้ตั้งใจ
2. การทำจิตบำบัด
โดยการให้คำปรึกษาแบบตัวต่อตัวจากผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิตหรือนักจิตวิทยา เพื่อบรรเทาอาการของโรคที่เกี่ยวข้องกับสภาพจิตใจ ซึ่งเป็นอาการที่เกิดร่วมกับโรคทูเร็ตต์
3. การผ่าตัด
หากผู้ป่วยมีอาการรุนแรงหรือไม่ตอบสนองต่อการรักษาวิธีอื่น แพทย์อาจพิจารณาให้รับการผ่าตัดกระตุ้นสมองส่วนลึก โดยการผ่าตัดฝังขั้วไฟฟ้าลงในสมอง เพื่อกระตุ้นไฟฟ้าไปยังส่วนที่ควบคุมการเคลื่อนไหว
ภาวะแทรกซ้อนจากโรคทูเร็ตต์
สำหรับอาการของโรคทูเร็ตต์ในผู้ป่วยส่วนใหญ่จะหายได้เองหรือดีขึ้นเมื่ออายุมากขึ้น แต่ระหว่างนั้นผู้ป่วยบางคนอาจมีภาวะแทรกซ้อนเกิดขึ้นได้ เช่น
อย่างที่บอกไปข้างต้นว่า แพทย์ยังไม่ทราบสาเหตุที่แท้จริงของ “โรคทูเร็ตต์” ทำให้เป็นเรื่องยากที่จะป้องกัน ดังนั้นหากทราบว่าคนในครอบครัวมีประวัติเป็นโรคดังกล่าวควรปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจดูว่าตนเองเข้าข่ายป่วยเป็นโรคนี้ด้วยหรือไม่
หากตรวจพบว่าอาจมีความเป็นไปได้ว่าจะป่วยด้วยโรคนี้ ก็จะสามารถรักษาได้ทันเวลา แต่สิ่งสำคัญสำหรับผู้ป่วยคือการได้รับการช่วยเหลือด้านจิตใจ เนื่องจากผู้ป่วยไม่สามารถรู้ได้ล่วงหน้าเลยว่าตัวเองจะแสดงพฤติกรรมใดออกมาในที่สาธารณะโดยไม่ได้ตั้งใจ และอาจถูกล้อเลียนจากสังคมได้ ดังนั้นครอบครัว เพื่อนสนิท คนรอบข้างที่เข้าใจ คือปัจจัยสำคัญในการช่วยให้ผู้ป่วยเข้มแข็งทางจิตใจได้
คำถามสุดฮิต..พบมากในช่วงวัยไหน
การรักษา
การป้องกัน
เนื่องจากโรคทูเร็ตต์เป็นโรคที่เกิดจากความผิดปกติของสมอง และเกี่ยวข้องกับพันธุกรรมด้วย จึงไม่มีวิธีการป้องกันที่ชัดเจน สิ่งที่สามารถทำได้เมื่อเป็นโรคนี้แล้วก็คือ การป้องกันปัจจัยกระตุ้นให้เกิดอาการมากขึ้น นั่นคือ การลดความเครียดที่ไม่จำเป็นในชีวิตของเด็ก
ผู้ปกครองควรเลี้ยงดูลูกอย่างเหมาะสม ไม่คาดหวังหรือกดดันเด็กมากเกินไป ตัดความเครียดที่ไม่จำเป็นที่จะเกิดกับตัวเด็กออกไป อย่างไรก็ดี ไม่ใช่ว่าจะเป็นการเลี้ยงลูกแบบตามใจ ควรฝึกเขาให้เป็นคนดี มีระเบียบวินัย และมีความรับผิดชอบด้วย
ดังที่กล่าวมาข้างต้น จะเห็นได้ว่า โรคทูเร็ตต์ เป็นโรคที่มีผลกระทบต่อชีวิตผู้ป่วยและคนรอบตัวมากพอสมควรทีเดียว แต่ไม่ได้รุนแรงในเชิงมีอันตรายทางสุขภาพกาย หากพบว่าคนใกล้ตัวมีอาการของโรคทูเร็ตต์ ก็ควรทำความเข้าใจ ให้กำลังใจ ไม่ตำหนิเรื่องอาการโดยไม่จำเป็น และคอยอยู่ข้างๆ เขา ในเวลาที่เขาต้องการ เพียงเท่านี้ก็ทำให้ผู้ป่วยรู้สึกดีและมีกำลังใจในการดำเนินชีวิตมากขึ้นแล้ว
อ้างอิงข้อมูล : พบแพทย์ และ รพ.วิภาวดี
ขอขอบคุณที่มา : ผศ.พญ.กมรวรรณ กตัญญูวงศ์ กุมารแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบประสาท / รศ. นพ.ศิริไชย หงษ์สงวนศรี ภาควิชาจิตเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล