3 พฤศจิกายน 2565 นายมนตรี สินทวิชัย หรือ "ครูยุ่น" เลขามูลนิธิคุ้มครองเด็ก เปิดใจครั้งเเรก หลังเข้าพบพนักงานสอบสวน สภ.อัมพวา เพื่อรับทราบข้อกล่าวหา ข้อหา "ทำร้ายร่างกายเด็ก" โดยมี นายแก้วสรร อติโพธิ ประธานมูลนิธิ และ นายพนัส ทัศนียานนท์ เดินทางมาร่วมแถลงข่าวด้วย
ครูยุ่น เปิดเผยว่า ขณะนี้ถูกดำเนินคดี 1 ข้อหาตามหมายเรียก และปฎิเสธข้อกล่าวหา พร้อมชี้แจงว่า
เหตุการณ์ตีเด็กนั้น เป็นเด็กกลุ่มที่ต้องถูกทำโทษ ซึ่งกลุ่มแรกเป็นกลุ่มเกี่ยวข้องกับยาเสพติด เเละกลุ่มที่ฝ่าฝืนคำสั่ง ลงไปเล่นในแม่น้ำแม่กลอง ทั้งๆ ที่บางคนว่ายน้ำไม่เป็น ซึ่งเสี่ยงอันตรายต่อชีวิตมาก จึงต้องทำโทษ ส่วนเรื่องปัญหายาเสพติดยอมรับว่า เด็ก 1 ใน 8 คน มีปัญหาเกี่ยวข้องกับยาเสพติด และพยายามนำยาเสพติดมาเผยแพร่ อยู่ในบ้านอยู่ในมูลนิธิ ซึ่งการลงโทษด้วยการตีนั้น หลายคนอาจจะมองว่า เป็นการลงโทษที่รุนแรง แต่สำหรับตนมองว่าเป็นการลงโทษเพื่อสั่งสอนไม่ได้มีเจตนาจะทำร้าย หรือทารุณกรรม
เด็กทุกคนที่อยู่ในบ้านเด็ก จะเรียกตนว่าพ่อ ดังนั้นการลงโทษด้วยการตีเป็นเหมือนพ่อสั่งสอนลูก ซึ่งการที่ถูกดำเนินคดีในข้อหานี้ก็ว่ากันไปตามพยานหลักฐาน แต่หากมองถึงเจตนา ตนยืนยันว่า ไม่มีเจตนาที่จะทำร้ายเด็ก
ข่าวที่เกี่ยวข้อง :
ส่วนประเด็นการทำร้ายร่างกายทารุณกรรมเด็ก มีการทำลายข้าวของ รวมไปถึงการนำปัสสาวะ อุจจาระ ราดเสื้อผ้าเด็ก ที่มีภาพถูกนำเสนอออกไปนั้น "ครูยุ่น" ชี้แจงว่า ภาพเสื้อผ้าที่ถูกมากองอยู่ที่พื้นนั้น ยอมรับว่าตนเป็นคนรื้อ แต่ไม่ได้นำอุจจาระ และไม่ได้เอาปัสสาวะหมา มาราด ตามที่เด็กกล่าวหา แต่เป็นการรื้อเสื้อผ้าออกมา เนื่องจากเด็กใหม่ ที่มาอยู่ในมูลนิธิไม่ชอบซักเสื้อผ้า และนำเสื้อผ้าที่ใส่แล้วมาซุกในตู้เสื้อผ้า จนเกิดความสะสมหมักหมมและสกปรก ไม่เป็นระเบียบ ตนจึงพยายามสั่งสอนเด็ก แต่เด็กก็ไม่ยอมทำตาม จึงต้องนำเสื้อผ้าทั้งหมดออกมาเพื่อให้เด็กทำความสะอาด และนำไปพับให้เป็นให้เป็นระเบียบ
จากพฤติกรรมต่างๆ ไม่ได้ก่อเหตุความรุนแรงตามที่เด็กกล่าวหา ซึ่งตนดูแลมูลนิธิและอยู่กับเด็กมานานอาจจะเป็นคนพูดไม่เพราะ แต่ยืนยันว่าทั้งหมดไม่ได้เป็นเจตนาในการที่จะทำร้ายทารุณกรรม หรือหากินกับเด็ก
นอกจากนี้ ครูยุ่น ยังชี้แจงประเด็นการใช้แรงงานเด็กในรีสอร์ต ซึ่งมีความสุ่มเสี่ยงผิด พ.ร.บ.การใช้แรงงานเด็ก ว่า ไม่ได้เป็นการให้ค่าจ้าง หรือบังคับเด็ก แต่เด็กในมูลนิธิเต็มใจที่จะไปช่วยงาน ซึ่งเป็นความสมัครใจของเด็กในการไปช่วย เปรียบเหมือนการช่วยผู้ปกครองทำงานบ้าน ซึ่งตนมองว่าไม่เข้าข่ายความผิด
ส่วนประเด็นเงินบริจาคที่หลายคนตั้งข้อสังเกตว่า การเปิดมูลนิธิแห่งนี้ อาจจะใช้เด็กมาหากิน "ครูยุ่น" ชี้แจงว่า
เงินบริจาคทุกบาททุกสตางค์ของมูลนิธิ มีคณะกรรมการตรวจสอบบัญชีทุกเดือน โดยมีนายแก้วสรร เป็นประธานในการตรวจสอบ ซึ่งเงินที่ได้มาทั้งหมดนั้นก็จะมีการทำรายงานต่อภาครัฐให้รับทราบทุกปี สำหรับกรณีการตัดเงินค่าขนมของเด็ก ซึ่งทำให้เด็กหลายคนออกมาร้องเรียนว่าได้รับเงินไปโรงเรียนไม่เพียงพอ ครูยุ่น ตอบประเด็นนี้ว่า เด็กจะได้ไปโรงเรียนไม่เท่ากัน เนื่องจากว่า มีการหักเงินในการลงโทษหลังจากที่ไม่ยอมทำงาน และทำตามกฎระเบียบของมูลนิธิ จึงลงโทษด้วยการหักเงินเริ่มต้นที่ 5 บาทถึง 10 บาท เท่านั้น และเงินส่วนที่หักไปก็จะไปให้กับเด็กที่ทำงาน
ตนขอยืนยันว่า ประเด็นเรื่องเงินบริจาค และการหักเงินเด็กนั้นไม่ได้นำเข้ากระเป๋าส่วนตัวหรือเป็นการหากินกับเด็ก ทั้งหมดมีหลักฐานทางการเงินสามารถชี้แจงได้
ส่วนเรื่องใบอนุญาตการจัดตั้งสถานสงเคราะห์เด็กฉบับปัจจุบันจะหมดอายุในช่วงเดือนมกราคม 2566 หากพัฒนาสังคม ไม่พิจารณาต่อใบอนุญาต ก็จำใจต้องปิดสถานสงเคราะห์ แต่มูลนิธิคุ้มครองเด็ก ยังสามารถดำเนินการต่อได้ เพราะเป็นคนละส่วนกัน โดยเด็กที่สมัครใจอยู่ในความดูแลต่อกับมูลนิธิ ก็สามารถอยู่ได้ แต่หากเด็กและเยาวชนคนใดสมัครใจที่จะไปอยู่ในสถานสงเคราะห์แห่งอื่นก็ยินยอมให้เด็กไป ยืนยันไม่มีการจำกัดอิสรภาพ