"รายการคมชัดลึก" โดย "วราวิทย์ ฉิมมณี" ได้สัมภาษณ์ "รศ.ดร.นันทนา นันทวโรภาส" คณบดีวิทยาลัยสื่อสารการเมือง ม.เกริก และ "รศ.ดร.ยุทธพร อิสรชัย" อ.ประจำสาขาวิชารัฐศาสตร์ ม.สุโขทัยธรรมาธิราช
"ป้อม 700" VS "ตู่ 1000" ชิงฐานอนุรักษ์นิยม
"วราวิทย์" facebook ของ"ลุงป้อม"เพิ่งจะโพสต์ข้อความใหม่ จะให้อาจารย์ทั้งสองถอดนัยยะว่าต้องการจะสื่อสารอะไร
"อ.นันทนา" สิ่งที่"บิ๊กป้อม"ต้องการที่จะสื่อสารออกมาคือจะบอกว่าแต่เดิมอาจจะเคยอยู่กลุ่มคนที่ทำรัฐประหาร แต่ขณะนี้ได้เข้าใจแล้วว่าการกระทำแบบนั้นไม่สามารถที่จะไปต่อได้ เขาก็อยากที่จะบอกว่า ตอนนี้เข้าใจแล้วนะว่าวิธีการแบบนั้นมันไม่เหมาะ ควรจะเป็นเรื่องของระบอบประชาธิปไตย แล้วก็พยายามที่จะเปิดทางให้ตัวเองได้เข้าไปร่วมกับคนอื่นๆโดยใช้คำว่าก้าวข้ามความขัดแย้ง
ในขณะเดียวกันสิ่งที่สารฉบับนี้ออกมา คีย์สำคัญ คือ ต้องการจะบอกว่าท่านไม่ใช่คนที่เป็น"อนุรักษ์แบบฮาร์ดคอร์" กำลังจะเปลี่ยนแปลงตัวเองเป็นอนุรักษ์แบบปานกลางและก็แตกต่างจาก"พล.อ.ประยุทธ์"โดยสิ้นเชิง
เพราะว่าถ้าเราเผื่อไปมองในเชิงของตำแหน่งทางการเมือง "พล.อ.ประยุทธ์" จะยืนอยู่ข้าง"อนุรักษ์นิยมแบบฮาร์ดคอร์" และก็ไม่พูดเรื่องนิรโทษกรรมแล้วก็จะไม่ยอมก้าวข้ามตรงนี้ไปเด็ดขาด ในขณะที่ "ลุงป้อม" พยายามที่จะบอกว่าตรงนี้มันพ้นไปละ ถึงเวลาที่จะต้องประนีประนอมแล้วก็มีความจำเป็นที่จะต้องก้าวข้ามความขัดแย้งทั้งหมด นั้นก็คือการทำตัวให้มีความแตกต่างออกมาจาก"ลุงตู่" แล้วก็เปิดทางที่จะร่วมกับพรรคอื่นๆในการที่จะจัดตั้งรัฐบาลในอนาคต
ที่สำคัญตรงนี้เป็นการบอกกับคนกลางๆ ว่า เขาไม่ใช่"อนุรักษ์นิยมแบบฮาร์ดคอร์" เขาไม่ได้สนับสนุนการยึดอำนาจอีกแล้ว เพราะฉะนั้นถ้าเลือก"พรรคพลังประชารัฐ"มีโอกาสก้าวไปกับพรรคการเมืองอื่นๆในการที่จะทำให้ประเทศชาตินั้นไม่เกิดความขัดแย้ง
"วราวิทย์" มองผ่านสายตาอาจารย์ ได้ผลมั้ย แยกกันได้มั้ย 3ป.ภาพเดิมๆ
"อ.นันทนา" ในแง่ของการพยายามที่จะสื่อสารออกมา ต้องยอมรับว่าเป็นความพยายามที่จะบอกว่า"ลุงป้อม"ไม่ได้เหมือนเดิมแล้ว พรรคพลังประชารัฐก็ไม่ใช่แบบที่คนทั่วไปคิดเพราะว่าตอนนี้ไม่มี"ลุงตู่"แล้ว แต่ถามว่าคนเขาจะมีความรู้สึกว่าแยกกันแตกต่างกันโดยสิ้นเชิงหรือป่าว คงไม่ถึงขนาดที่ว่าแค่มีจดหมายออกมาสองฉบับ จะทำให้"ลุงป้อม"กลายเป็นเสรีนิยมขึ้นมา เป็นไปไม่ได้
แต่ว่าสิ่งที่ทำให้คนเกิดความรู้สึกว่าตรงนี้ เกิดการเปลี่ยนแปลงจริงๆ ในแง่ของแนวทางนโยบายจุดยืนอุดมการณ์แล้วก็ทิศทางที่จะนำพาประเทศไปตรงนี้คนเขากำลังมองอยู่ แต่ว่าก็ไม่เกิดขึ้นชั่วข้ามคืนเพราะว่าภาพจำ มานานมากแล้ว
"วราวิทย์" อ.ยุทธพรมองอย่างไรกับสารของ"ลุงป้อม"ฉบับนี้
"อ.ยุทธพร" ผมว่าไม่ได้มีอะไรที่ต่างจากเดิมนะ สัญญาณมีมาอย่างต่อเนื่อง อาจจะย้ำให้เห็นชัดเจนมากขึ้นเพราะว่ากำลังก้าวเข้าสู่โค้งสุดท้ายของการเลือกตั้ง จดหมายฉบับนี้ ถึงขั้นจะพลิกเปลี่ยนความคิดผู้คนมั้ย ผมว่าไม่ถึงขั้นนั้น
"วราวิทย์" กลางๆจะเหลือฐานเสียงให้"ลุงป้อม"ชิงอยู่หรือครับ
"อ.ยุทธพร" ทีมลุงป้อมคิดว่าอย่างนั้นไงครับ คิดว่าคนที่อยู่กลางๆยังไม่ตัดสินใจจะใช้ปัจจัยระยะสั้นก่อนเลือกตั้งจะเป็นตัวชี้ขาด ซึ่งอันนั้นเป็นความคิดการเลือกตั้งเมื่อ 20 ปีที่แล้ว แต่วันนี้ไม่ใช่วันนี้ทศวรรษ 2560 การเมือง ไม่ใช่การเมืองเรื่องนโยบาย แต่เป็นการเมืองในเชิงอุดมการณ์ การเมืองในเรื่องของการแบ่งขั้วเพราะ การแบ่งขั้วมี 2 แบบ
แบบที่ 1 คือการแบ่งขั้วในเชิงอุดมการณ์ กับแบบที่ 2 การแบ่งขั้วตามอารมณ์ความรู้สึก การแบ่งขั้วในเชิงอุดมการณ์ อาจจะมีเหตุผลคำอธิบายมีตรรกะอะไรที่ฟังแล้วมันยังพอที่จะเข้าใจได้ แต่การแบ่งขั้วทางอารมณ์ไม่มีนะครับ เป็นเรื่องของความชอบไม่ชอบ
ฉะนั้นเรื่องของการที่จะบอกว่าคนกลางๆแล้วมาตัดสินใจ"พล.อ.ประวิตร" ไม่ง่ายเลย วันนี้ภาพ 3ป.ยังไงก็ยังอยู่อย่างนี้ แต่อย่าลืมถาม เมื่อไหร่ที่ 3ป.แตกคอกัน ไม่ได้จบแค่การแตกกันของ 3ป. แต่ยังสิ้นสุดอำนาจของระบอบคสช.แม้วันนี้คสช.ไม่มีในทางกฎหมายแล้ว แต่ทางปฎิบัติคสช.ยังอยู่ ดูได้จากกรรมการยุทธศาสตร์ชาติเป็นต้น ชุดที่สองที่ตั้งมาชื่อเหมือนชุดที่หนึ่งเลย ดูได้จาก 250 ส.ว.เป็นต้น นี่คือสะท้อนให้เห็นว่า คือมรดกของคสช.ที่ยังอยู่
ชมคลิป>>> "ป้อม700" VS "ตู่1000" ชิงฐานอนุรักษ์นิยม