
25 กรกฎาคม 2568 ผู้สื่อข่าวลงพื้นที่ไปยังศูนย์พักพิงผู้อพยพ (โรงเรียนบ้านหลัก) ได้พบกับคุณยายของนัองน้ำโขง คุณยาย สะธน กันภัย อายุ 63 ปี ซึ่งคุณยายได้พูดคุยกับผู้สื่อข่าวด้วยความเศร้าโศก และได้เล่าให้ผู้สื่อข่าวฟังทั้งน้ำตา ว่าขณะเกิดเหตุตนและครอบครัวอยู่ในบ้านกำลังจัดเตรียมข้าวของเพื่ออพยพไปในที่ปลอดภัย ซึ่งคุณตาได้ออกไปเก็บวัวควาย จากนั้นตนก็ได้ยินเสียงเหมือนจรวดดังวิ๊ด พอรู้สึกตัวอีกทีถึงได้รู้ว่าระเบิดได้ลงบ้านตนอย่างจัง ตอนนั้นตนตกใจมาก มองหาหลานๆ ว่าอยู่ตรงไหน มองไปรอบบ้านพบเศษซากปรักหักพัง บ้านไม่เป็นบ้านทุกอย่างพังทลาย
เมื่อมองไปเห็นหลานชาย หรือน้องน้ำโขง ก็พบว่าหลานมีเลือดเต็มตัว ยายวิ่งเข้าไปก่อนและหาผ้าขนหนูมาเช็ดเลือดให้ก็พบว่าบนศีรษะน้องนั้นเหมือนแตกออก และมีเหมือนน้ำนมไหลออกมาจากศีรษะ ตนเขย่าตัวน้องและเรียกน้อง แต่น้องก็ไม่ตอบสนองใดๆ ตนรู้สึกตกใจมากและตามหาหลานสาวอีกคน คือน้องน้ำค้าง อายุ 11 ปี พี่สาวของน้องน้ำโขง ก็พบว่าน้องน้ำค้างนั้นได้รับบาดเจ็บที่ขาขวาและมือ โชคดีที่มีกำแพงฝาบ้านบังตัวน้องน้ำค้างไว้ ไม่เช่นนั้นไม่อยากจะคิดว่าน้องน้ำค้างจะเป็นอย่างไรบ้าง
เรื่องของน้องน้ำโขงที่เสียชีวิตนั้น ตนยังไม่กล้าบอกลูกชายของตนหรือพ่อของน้องน้ำโขงเลย ตอนนี้พ่อของน้องน้ำโขงก็ยังคงรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลสุรินทร์ แต่เมื่ออาการดีขึ้นและแข็งแรงขึ้นแล้ว ตนจะบอกเรื่องที่น้องน้ำโขงเสียชีวิตให้กับพ่อน้องฟัง
"อยากจะบอกกับน้องน้ำโขงอีกสักครั้ง ถ้ามีโอกาสชาติหน้าฉันใดมีจริง ขอให้ได้เกิดมาเป็นลูกหลานกันอีก ขอให้วิญญาณของหลานน้ำโขงไปสู่สุคติในภพภูมิที่ดี" คุณยายสะธน กล่าว
คุณยายสะธน กล่าวอีกว่า ตอนเกิดเหตุ ตนคิดว่าตนเองและครอบครัว ลูกหลานทุกคนต้องรอดชีวิตจากเหตุการณ์ครั้งนี้ แต่มองมาอีกทีหัวใจก็สลาย เพราะหลานของตนมีอาการสาหัส ตนได้กอดหลานไว้ในอ้อมกอด ใช้ผ้าเช็ดเลือดและเรียกหลานตลอดเวลา แต่ก็ไม่มีเสียงตอบของหลาน ตอนนั้นรู้ได้เลยว่าหลานได้จากตนไปแล้วทั้งที่อยู่ในอ้อมกอดของตนจนรู้สึกเสียใจเหมือนหัวใจแตกสลาย เพราะตนเลี้ยงหลานมาตั้งแต่เกิดจนถึงปัจจุบันนี้
ตนอยากฝากบอกไปทางผู้นำที่ก่อให้เกิดสงครามในครั้งนี้ ทำให้ตนต้องสูญเสียหลานอันเป็นสุดที่รักไป ขอให้คนสั่งการที่โจมตีประเทศไทยรับผลกรรมอันแสนสาหัสให้เจ็บปวดเสียใจมากกว่าตนหลายร้อยเท่า
ด้าน คุณตา สุธี บุญแต่ง อายุ 60 ปี เล่าให้ผู้สื่อข่าวฟังว่วันที่เกิดเหตุนั้นหลานตนมาบอกตน และคุณยายให้ไปดูหลานแข่งขันฟุตบอลที่โรงเรียน เพราะอยากได้กำลังใจจากตายายและครอบครัว ตนและคุณยายก็รับปากว่าจะไปดู และบอกกับหลานว่า เดี๋ยวตาขอไปผูกควายก่อนแล้วจะไปดูการแข่งขันที่โรงเรียน แต่เหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น ตนได้ยินเสียงระเบิดเกิดขึ้นแถวบ้าน จึงรีบกลับมาดู พบระเบิดลงที่บ้านตนเอง สภาพบ้านพัง รถมอเตอร์ไซค์เสียหาย เครื่องทำมาหากินทุกอย่างพังเสียหายทุกชิ้นเกือบ 80%
จากนั้น ตนรีบวิ่งเข้าไปดูในบ้านก็เห็นเลือดเต็มบ้านและพบหลานนอนหมดสติ ตนเข้าไปดู ก็ไม่รู้สึกตัวมีแต่เลือดเต็มไปหมด และเหตุการณ์ครั้งนี้ ทำให้ตนสิ้นเนื้อประดาตัว หมดสิ้นสิ่งที่ทำมาหากินและต้องเสียหลานชายสุดที่รักไป ตนนั้นมืดแปดด้านยังไม่รู้ว่าชีวิตจะไปทางไหนต่อยังไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นจากตรงไหนดีไม่มีความหวังใดๆ