
31 พฤษภาคม 2568 จากเหตุปะทะกันระหว่างทหารไทย และทหารกัมพูชา ที่บริเวณช่องบก จ.อุบลราชธานี เมื่อเช้ามืดวันที่ 28 พฤษภาคม 2568 มีทหารกัมพูชาเสียชีวิต 1 ราย โดยพื้นที่ดังกล่าวอยู่ในเขตที่ยังไม่ได้มีการแบ่งเขตแดนอย่างเป็นทางการ ระหว่างประเทศไทย-กัมพูชา เป็นพื้นที่ที่ทั้ง 2 ฝ่ายมีการอ้างสิทธิ์ทับซ้อนนั้น
พล.อ.นิพัทธ์ ทองเล็ก อดีตปลัดกระทรวงกลาโหม และอดีตเจ้ากรมกิจการชายแดนทหาร บอกกับ “ข่าวข้นคนข่าว” เนชั่นทีวี ถึงสถานการณ์ตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ว่า ทั้ง 2 ประเทศมีพรมแดนติดต่อกัน 798 กิโลเมตร มีเส้นเขตแดนทั้งทางบกและทางทะเล มีพื้นที่ที่เป็นปัญหา เรียกว่า “พื้นที่ทับซ้อน” หรือ “พื้นที่อ้างสิทธิ์” ตามสนธิสัญญาที่ฝรั่งเศสทำไว้กับสยาม ตลอดแนวเขตแดน ทั้ง จ.อุบลราชธานี ศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์ ซึ่งเป็นพื้นที่ภาคอีสานของไทย และยังมีพรมแดนไทยด้าน จ.สระแก้ว จันทบุรี ตราด อีกด้วย
ที่ผ่านมาเคยมีเหตุปะทะ และเหตุการณ์ตึงเครียดเกิดขึ้นหลายครั้งอย่างต่อเนื่อง นับตั้งแต่ไทยเสียปราสาทพระวิหาร บรรยากาศตามแนวชายแดน ทั้งกำลังทหาร และชุมชนคน 2 ประเทศ จึงมีลักษณะต่างคนต่างอยู่
แต่ความเผิดปกติ เกิดขึ้นตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา เพราะจู่ๆมีความเคลื่อไหว การจัดขบวนสุภาพสตรีไปดูงานปราสาทตาเมือนธม จ.สุรินทร์ ไปกันเป็นกลุ่มก้อน ไปร้องเพลงชาติ ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ทหารไทยที่ทำหน้าที่ตรงนั้นก็ต้องทำหน้าที่ปกป้อง เพราะทหารไทยย่อมยอมไม่ได้
เรื่องนี้เป็นการจุดประกายทำให้รู้สึกได้ว่า “มีความผิดปกติเกิดขึ้น” เพราะฝ่ายไทยไม่เคยยกขบวนไปในดินแดนกัมพูชาเพื่อร้องเพลงชาติ
ต่อมาฝ่ายไทยพบการ “ขุดคูเรต” หรือ “คูเลต” หรือ “หลุมบุคคล” จนเกิดกระแสต่อต้านของมวลชนฝ่ายไทย และสุดท้ายเกิดการปะทะกันด้วยอาวุธ เมื่อช่วงเช้ามืดวันที่ 28 พฤษภาคม 2568 ที่ผ่านมา
“คูเรต” หมายถึง คูที่ขุดติดต่อกันเป็นทางยาว เป็นการดัดแปลงภูมิประเทศเพื่อเป็นที่มั่นในการปฏิบัติการรบ ส่วนใหญ่จะขุดให้มีความลึกพอที่จะป้องกันกำลังพลจากอาวุธของฝ่ายข้าศึกได้ แนวของคู ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ในการใช้งาน
ฉะนั้นการที่ฝ่ายกัมพูชาขุดคูในพื้นที่อ้างสิทธิ์ แสดงให้เห็นว่ามีเจตนาที่จะยึดพื้นที่เอาไว้เพื่อจัดตั้งเป็นฐานปฏิบัติการ ซึ่งอาจเป็นไปได้ทั้งเพื่อเตรียมปฏิบัติการทางทหารในอนาคต หรือเพื่อรับมือการสู้รบที่คาดว่าจะเกิดขึ้น
พล.อ.นิพัทธ์ มองด้วยว่า การตอบโต้ของฝ่ายทหารไทย ยังอยู่ในกรอบและความจำเป็นที่้ต้องทำ ถือเป็นเรื่องที่ต้องให้กำลังใจ ส่วนการเจรจาในระดับ ผบ.ทบ. หรือระดับรัฐบาล ก็ต้องรอดูต่อไปว่าจะแก้ปัญหาได้อย่างยั่งยืนหรือไม่ เพราะความผิดปกติตามแนวชายแดนยังไม่หมดไป
ขณะที่การเจรจาของฝ่ายไทยกับกัมพูชา มีข้อมูลจากฝ่ายความมั่นคงว่า แม้บรรยากาศการเจรจา และท่าทีของผู้นำระดับสูงทั้งไทยและกัมพูชา จะผ่อนคลายขึ้น แต่สถานการณ์ตามแนวชายแดนยังไม่ลดความตึงเครียดลง
1.ทหารกัมพูชายังไม่ยอมถอนกำลังทั้งหมด ในพื้นที่จริง ฝ่ายไทยจึงยังขยับถอยไม่ได้เช่นกัน เพราะหากฝ่ายไทยถอย แต่กัมพูชายืนยันคงกำลังไว้จุดเดิม ย่อมเท่ากับไทยยอมรับโดยปริยายว่ากัมพูชามีสิทธิ์ยึดครองพื้นที่ส่วนที่อ้างสิทธิ์ และล้ำเข้ามาทำกิจกรรมบางอย่าง
2. พื้นที่จุดพิพาท เป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญ เพราะเป็นจุดสูงข่ม ทำให้เกิดความได้เปรียบเสียเปรียบในการวางกำลังทหาร รวมถึงหากมีการสู้รบกันเกิดขึ้น
3. ท่าทีของฝ่ายการเมืองระดับสูงของไทย แสดงความเข้าอกเข้าใจฝ่ายกัมพูชา แต่ไม่ย้ำจุดยืนของฝ่ายไทยอย่างชัดเจนหนักแน่นมากพอ
4.ฝ่ายกองทัพไม่เชื่อใจกัมพูชา เพราะพฤติกรรมที่ผ่านมามีการปลุกเร้าให้เกลียดชังไทย และยังคงมีการดำเนินการอย่างต่อเนื่องผ่านสื่อหลากหลายรูปแบบ มีแต่ฝ่ายไทยที่ปรามกันเอง และปรามกองทัพ
5. ไทยต้องสรุปบทเรียนจากการสูญเสียปราสาทพระวิหาร แพ้คดีในศาลโลก เพราะสาเหตุหนึ่งที่ปล่อยให้มีการนำครอบครัวและชุมชนเข้าไปตั้งถิ่นฐาน เสมือนยอมรับว่าเป็นดินแดนของกัมพูชาโดยสมบูรณ์