
30 พฤษภาคม 2568 กองทัพบก ออกแถลงการณ์ผลการเจรจาระหว่าง ผบ.ทบ.ไทย - ผบ.ทบ.กัมพูชา เกี่ยวกับสถานการณ์ในพื้นที่ชายแดน ดังนี้
1. ผู้บัญชาการทหารบก ได้กล่าวแสดงความเสียใจต่อการสูญเสียกำลังพลจากเหตุการณ์ปะทะ และเน้นย้ำถึงการให้ความสำคัญต่อเจตนารมณ์ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมของทั้งสองประเทศ ที่ต้องการให้มีการเจรจาเพื่อยุติความขัดแย้ง พร้อมแสดงจุดยืนสนับสนุนการพูดคุยเจรจาด้วยสันติวิธี ในการหาข้อตกลงร่วมกัน และขอยืนยันว่าจะไม่มีการรุกรานอธิปไตย หรือการหยิบยกประเด็นข้อขัดแย้งในอธิปไตยของกัมพูชาโดยเด็ดขาด การเจรจาครั้งนี้จะส่งผลดีต่อประชาชนของทั้งสองประเทศ โดยเฉพาะในด้านเศรษฐกิจ
2. กรณีข้อขัดแย้งบริเวณช่องบก กองทัพบกไทยและกัมพูชา มีความเห็นร่วมกัน ในการใช้กลไกคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม หรือ Joint Boundary Committee (JBC) ซึ่งเป็นกลไกในระดับรัฐบาลในการเร่งแก้ไขปัญหาดังกล่าว ซึ่งผลการประชุม JBC คาดว่าจะได้ข้อสรุปภายในอีก 2 สัปดาห์ โดยปัจจุบันกำลังทั้งสองฝ่ายที่เคยปะทะ ได้ตกลงที่จะเคลื่อนออกจากพื้นที่ ถือเป็นการคลี่คลายความตึงเครียดระหว่างกัน ทั้งสองฝ่ายยังมีความเห็นพ้องในการใช้กลไกคณะกรรมการร่วมมือรักษาความสงบเรียบร้อยบริเวณชายแดน หรือ Regional Border Committee (RBC) เพื่อคลี่คลายข้อสงสัยที่อาจค้างคา และส่งเสริมกลไก JBC ให้มีความสมบูรณ์ยิ่งขึ้งขึ้น
3. ผู้บังคับบัญชาทั้งสองฝ่ายได้ระบุว่า จะกำกับดูแลกำลังพลให้อยู่ภายใต้กรอบการเจรจาอย่างเคร่งครัด โดยผู้บัญชาการทหารบกกัมพูชา ย้ำว่าในส่วนของกัมพูชา หากมีผู้ใดฝ่าฝืนข้อตกลงที่ได้ร่วมกันวางไว้ในวันนี้ จะดำเนินการย้ายกำลังพลออกจากพื้นที่ทันที และยืนยันว่าฝ่ายกัมพูชาสามารถควบคุมและ สั่งการหน่วยงานทุกหน่วยได้อย่างเด็ดชาด
4. การพบปะเจรจาระหว่างผู้บัญชาการทหารบกไทยและกัมพูชาในครั้งนี้ บรรยากาศการพูดคุยเป็นไปด้วยดี สามารถบรรลุข้อตกลงในการถอนกำลังออกจากจุดที่ปะทะ และคงกำลังอยู่ในที่ตั้งเดิมรอผลการประชุมคณกรรมาธิการเขตแดนร่วม JBC ในระหว่างนี้ ผู้บังคับบัญชาทั้งสองฝ่ายจะกำกับดูแลกำลังพลให้อยู่ภายใต้กรอบการเจรจาอย่างเคร่งครัด
โดยกองทัพบกจะยังคงติดตามสถานการณ์ในพื้นที่ชายแดนอย่างใกล้ชิด และเตรียมความพร้อมในการดำเนินงานด้านต่างๆ เพื่อดูแลความสงบเรียบร้อยในพื้นที่ชายแดนต่อไป พร้อมขอให้ประชาชนใช้วิจารณญาณในการรับฟังข่าวสาร โดยรับฟังข้อมูลจากรัฐบาลและสื่อหลักเท่านั้น เพื่อป้องกันความสับสน จนส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศ พร้อมขอให้เชื่อมั่นการทำหน้าที่ทหาร ในการปกป้องอธิปไตยของไทยทุกตารางนิ้ว
ด้าน พลตรี วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก ชี้แจงแถลงการณ์ของฝ่ายกัมพูชา โดยเฉพาะข้อที่ 4 ที่ระบุว่า ฝ่ายกัมพูชาจะไม่ถอย และยืนหยัดโดยปราศจากอาวุธในจุดที่เกิดความขัดแย้ง เนื่องจากจุดนั้น คือจุดที่ฝ่ายกัมพูชาได้ยืนหยัดมาตั้งแต่ก่อนที่จะมีการลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการวัด และกำหนดเขตแดนทางบก ระหว่างกัมพูชาและไทย เมื่อปี พ.ศ.2543 โดยมองว่า ที่ไม่ถอนกำลัง ไม่ได้เฉพาะเจาะจงว่าจุดไหน ก็คงต้องใช้กลไกที่มีอยู่ในกรอบข้อตกลงดำเนินการต่อไป แต่จุดที่ปะทะกันบริเวณคูเรต เมื่อ 28 พ.ค. 2568 พบว่าได้มีการถอยห่างกำลังเผชิญหน้าออกไปแล้วทั้งสองฝ่าย
ส่วนเรื่องเขตพื้นที่ตามแนวชายแดนนั้น หากถามแต่ละฝ่าย ต่างฝ่ายต่างก็อ้างสิทธิด้วยกัน อาจจะทำให้เถียงกันไม่จบ จึงต้องใช้กลไกฝ่ายเทคนิค คณะทำงานปักปันเขตแดน (JBC) ซึ่งผู้บัญชาการทหารบก จะสนับสนุนให้มีการเร่งดำเนินการ
ดังนั้น ระหว่างที่รอผลของคณะทำงาน JBC ฝ่ายไทยก็จะใช้การลาดตระเวนดูแลพื้นที่ ด้วยจำนวนกำลังที่เหมาะสม ตามเงื่อนไขข้อตกลง MOU เหมือนในทุกพื้นที่ตามแนวชายแดนที่มีปัญหาในเรื่องการอ้างสิทธิ์ทับซ้อนกัน เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของชาติและของพี่น้องชาวไทย โดยยังคงยึดหลักในการไม่รุกรานอธิปไตยของฝ่ายกัมพูชาเป็นสำคัญ