จากกรณีนายเดช (สงวนนามสกุล) อายุ 50 ปี คนขับรถตู้โดยสารไม่ประจำทาง ตกเป็นผู้ถูกกล่าวหา ในคดีข่มขืนกระทำชำเรา ด.ญ.เอ (นามสมมุติ) อายุ 13 ปี ชาว อ.แวงน้อย จ.ขอนแก่น ขณะที่นั่งรถตู้คันดังกล่าวลงไปหาพ่อและแม่ที่กรุงเทพน ช่วงปิดภาคเรียน แต่ระหว่างทาง ด.ญ.เอ อ้างว่า ได้ถูกนายเดช ข่มขืนกระทำชำเรา โดยได้เล่าให้นางแตง (นามสมมุติ) อายุ 63 ปี ผู้เป็นย่าฟัง ก่อนย่าจะพาหลานสาวเข้าแจ้งความ เหตุการณ์เกิดขึ้นระหว่างวันที่ 1 – 2 ตุลาคม ผ่านมา ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.แวงน้อย ตำรวจภูธรจังหวัดขอนแก่น และตำรวจสืบสวนนครบาล ได้ร่วมกันสืบสวนสอบสวนหาข้อเท็จจริงในเรื่องนี้
พล.ต.ต.อนุวัตร เผยว่า คดีนี้ตำรวจภูธรจังหวัดขอนแก่นร่วมกับตำรวจสืบสวนนครบาล ในการสืบสวนสอบสวนกรณีนี้อย่างต่อเนื่องมาโดยตลอด ตั้งแต่ที่ได้รับแจ้งความ ซึ่งได้มีการดำเนินการสืบสวนสอบสวนจนได้รับรู้ว่า ในวันที่เกิดเหตุรถคันดังกล่าวเดินทางจากไหนไปไหน และมีผู้โดยสารกี่คน มีการเดินทางในกรุงเทพฯ กระทั่งไปส่งตัว ด.ญ.เอ และเดินทางไปจุดไหนต่อ ตอนนี้เรื่องราวทั้งหมดได้มีการสอบสวนปากคำผู้ที่อยู่บนรถทั้งหมดแล้ว มีประเด็นสำคัญที่เกิดขึ้นในทางคดีหลักๆ ก็คือในการสอบสวนพยานที่อยู่บนรถในระหว่างทางทุกๆ คนจะขึ้นรถจากต้นทางหลายต้นทาง ทั้งจากอำเภอแวงน้อยจนไปสิ้นสุดในพื้นที่ของกรุงเทพฯ โดยคนที่โดยสารไปด้วยคนสุดท้ายเป็นพยานที่ให้การว่า ด.ญ.เอ ไม่ได้ลงรถเป็นคนสุดท้ายเพราะยังมีผู้โดยสารอีก 1 คนที่อยู่ร่วมบนรถกับ ด.ญ.เอ และยืนยันว่าด.ญ.เอ ได้ลงจากรถก่อนตนเอง ซึ่งผู้โดยสารที่เป็นพยานท่านนี้ได้ให้ปากคำกับตำรวจ สน.บางกอกใหญ่ ไว้ว่าระหว่างที่นั่งมาโดยตลอดเส้นทางไม่ได้มีเหตุการณ์อะไรผิดปกติเกิดขึ้นบนรถตู้หรือมีการล่วงละเมิดทางเพศหรือสิ่งใดก็ตามที่ปรากฏเป็นข่าว
"ในส่วนของ ด.ญ.เอ เองที่ได้มาแจ้งความพร้อมกับคุณย่า ในส่วนของ สภ.แวงน้อย ตำรวจได้ส่งตัวเด็กหญิงไปที่โรงพยาบาลแวงน้อย เพื่อตรวจทางการแพทย์ปรากฏว่า ปัจจุบัน ด.ญ.เอ ยังอยู่ในความดูแลของแพทย์เพื่อดูอาการของเด็กต่อ ซึ่งระยะเวลาที่ผ่านมาตำรวจภูธรจังหวัดขอนแก่นมีความพยายามในการประสานกับทางโรงพยาบาลว่า เด็กสามารถให้การได้เมื่อไหร่ ซึ่งเมื่อวานนี้ทางทีมแพทย์ได้อนุญาตให้เข้าสอบปากคำได้ เจ้าหน้าที่ตำรวจพร้อมทีมสหวิชาชีพจึงได้เข้าทำการสอบปากคำ จนกระทั่งสามารถทราบข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น โดยเมื่อวานนี้ ด.ญ.เอ สามารถให้การได้ มีสติสัมปชัญญะ โดยให้การว่าได้เดินทางจากอำเภอแวงน้อยไปเยี่ยมพ่อเขตบางกอกใหญ่โดยอยู่ที่นั่นเป็นเวลา 1 เดือน ซึ่งระหว่างการเดินทางก็ไม่มีเหตุการณ์ถูกประทุษร้ายหรือล่วงละเมิดทางเพศปรากฏตามที่เป็นข่าว ผู้สื่อข่าวถามว่ากรณีที่ญาติของเด็กให้ข้อมูลว่าถูกวางยาและถูกล่วงละเมิดทางเพศ ซึ่งได้มีผลตรวจจากโรงพยาบาลแวงน้อยเกี่ยวกับเรื่องเยื่อพรหมจรรย์ฉีกขาด เรื่องนี้จะต้องมีการตรวจสอบต่อไปหรือไม่"
พล.ต.ต.อนุวัตร เผย
พล.ต.ต.อนุวัตร กล่าวต่อว่า ได้มีการสอบถามทางแพทย์แล้วถึงการตรวจร่างกายของ ด.ญ.เอ ว่า แพทย์ได้ให้ข้อมูลกับตำรวจว่าการฉีกขาดของพรหมจรรย์เกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ เช่น การออกกำลังกายหรือการใช้ชีวิตประจำวัน ซึ่งแพทย์ไม่ได้ยืนยันว่าการฉีกขาดของเยื่อพรหมจรรย์เกิดจากการถูกล่วงละเมิดทางเพศ ผู้สื่อข่าวถามต่อว่า ขณะนี้สามารถฟันธงได้หรือไม่ว่าการฉีกขาดของเยื่อพรหมจรรย์ไม่ได้เกิดจากการถูกข่มขืน ในการที่ทีมสหวิชาชีพเข้าไปสอบปากคำเด็กในหลาย ๆ ประเด็นเราได้พยายามค่อยๆสอบถามเด็กเพราะกลัวจะไปกระทบจิตใจของเด็ก เมื่อไรที่เราสามารถสอบถามเด็กหรือสหวิชาชีพสามารถสอบถามด.ญ.เอ ได้อีก จึงจะมีการสอบถามเด็กในเรื่องนี้อีกครั้งว่าเกิดจากอะไรอย่างไรเพราะปัจจุบันเด็กยังไม่ได้ให้การในเรื่องนี้ ด.ญ.เอ ยังไม่ได้มีการพูดถึงในประเด็นนี้เพียงแต่เล่าเรื่องว่า วันที่เดินทางจากต้นทางไปถึงปลายทาง เค้าบอกว่าไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้นแค่นั้น
"นอกจากเรื่องของเยื่อพรหมจรรย์ที่ฉีกขาดที่ทำให้ผู้เป็นย่าเชื่อว่าหลานสาวถูกล่วงละเมิดทางเพศ ยังมีเรื่องของอาการเพ้อของเด็กการหวาดกลัวหรือแม้กระทั่งการเรียกชื่อคนขับรถตู้โดยสารที่ผู้เป็นย่าออกมาให้ข้อมูลอาการเหล่านี้แพทย์ได้ให้ข้อมูลด้วยหรือไม่ว่าเกิดจากสาเหตุอะไร ประเด็นนี้แพทย์ยังไม่ได้ให้ข้อมูลซึ่งทางแพทย์ยังหาสาเหตุของอาการเหล่านี้อยู่ซึ่งทางตำรวจได้มีการสอบถามในประเด็นนี้กับทางแพทย์ไปแล้ว" พล.ต.ต.อนุวัตร เผยอีก
พล.ต.ต.อนุวัตร กล่าวอีกว่า จากกรณีที่เกิดขึ้นทั้งหมดสถานะของนายเดชคนขับรถตู้ในเวลานี้ ต้องบอกว่าในเรื่องของการทำคดีที่เริ่มมาตั้งแต่ต้นตำรวจยังไม่ได้มีการกล่าวหาใครหรือสงสัยใคร แต่ตำรวจได้พยายามพิสูจน์ในเรื่องของข้อมูลที่ได้รับมาจากการที่มีผู้มาแจ้งความกับทางตำรวจเท่านั้น ส่วนของคนขับรถตู้จะมีใครไปกล่าวถึงอย่างไรก็แล้วแต่ ทางตำรวจก็ต้องขอบคุณผู้ถูกกล่าวหาที่ได้เดินทางมาแสดงความบริสุทธิ์ โดยเดินทางมาพบตำรวจและให้ข้อมูลเพื่อช่วยในการสืบสวนสอบสวนของตำรวจ ขณะที่ผลการตรวจสอบรถตู้โดยสารอย่างเป็นทางการผลยังไม่ออกซึ่งจะต้องรอผลตรวจอย่างเป็นทางการขณะนี้ยังไม่มีผลการตรวจหรือร่องรอยอะไรออกมาทั้งสิ้น
พล.ต.ต.อนุวัตร กล่าวว่า เรื่องราวที่ด.ญ.เอ พูดมาตอนนี้ทางตำรวจกำลังพยายามหาคำตอบอยู่ หากตนเองเป็นญาติของเด็ก หรือเป็นลูกของตนเอง ถ้าเค้ามาพูดในลักษณะอย่างนี้ โดยที่มีพฤติการณ์ของเด็กหรืออาการต่างๆเกี่ยวเนื่องด้วย ตนเองก็เชื่อและก็ต้องตกใจก็เป็นธรรมดา เมื่อเรารับรู้ว่ามีอะไรเกิดขึ้นก็จะต้องไปแจ้งความ ในส่วนของตำรวจเองก็ต้องทำตามหน้าที่ในการพิสูจน์ความจริง ขณะนี้ด.ญ.เอ ยังคงอยู่ในการดูแลของแพทย์เมื่อไหร่ที่ เค้าสามารถให้การได้มากกว่านี้เราก็จะรู้ความจริงมากขึ้น ส่วนจะมีการแจ้งความในข้อหาแจ้งความเท็จหรือไม่นั้น ต้องบอกว่าตอนนี้ยังไม่มีความผิดใดเกิดขึ้น ในทางคดีก็ยังไม่เกิดขึ้น เรื่องใดก็ตามตอนนี้ปัจจัยหลักขึ้นอยู่กับตัวด.ญ.เอ จะสามารถพูดคุยกับตำรวจได้มากน้อยขนาดไหน รวมทั้งพ่อแม่ของด.ญ.เอ ที่อาจจะมีข้อมูลข้อสงสัยมากกว่านี้หรือไม่ ก็จะต้องมาว่ากันในขั้นตอนต่อไป ทั้งนี้ในระหว่างการสอบปากคำด.ญ.เอ ทราบว่าไม่มีเหตุการณ์ล่วงละเมิดเกิดขึ้นพ่อและแม่ของเด็กก็อยู่ด้วย ซึ่งไม่ได้มีข้อสงสัยหรือทักท้วงผลสอบปากคำของด.ญ.เอ แต่อย่างใด
"ส่วนในประเด็นที่ว่าคนขับรถตู้ไปส่งช้ากว่าปกตินั้นจากการสืบสวนสอบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ได้มีการตรวจสอบทางเทคนิคทราบว่าระบบ GPS รถได้เดินทางออกจากอำเภอแวงน้อย แล้วไปทยอยส่งผู้โดยสารในทุกๆจุดมีพยานหลักฐานที่ตรงกันว่าผู้โดยสารลงแต่ละจุดตรงกันจากคำให้กา รและและก่อนที่เด็กจะลงรถยังมีผู้โดยสารอยู่บนรถอีก 1 คน โดยพยานรายดังกล่าวให้การในครั้งนี้ว่า ไม่มีเหตุการณ์กระทำชำเราใดๆเกิดขึ้นระหว่างทางจนถึงที่หมาย รถตู้ที่นำมาให้ตำรวจตรวจสอบก็เป็นรถคันเดียวกันในวันที่เดินทาง ซึ่งพยานที่อยู่บนรถทั้งหมด ให้การตรงกันว่าเป็นรถคันนี้ ซึ่งจำลักษณะและส่วนประกอบต่างๆภายในรถได้" พล.ต.ต.อนุวัตร เผย