svasdssvasds
เนชั่นทีวี

ทั่วไทย

ผู้เลี้ยงนกกรงหัวจุก ระดมทุนค่าเดินทางเข้ากรุง จี้ปลดล็อกพ้นสัตว์ป่าคุ้มครอง

เครือข่ายผู้เลี้ยงนกกรงหัวจุก จ.ตรัง จัดแข่งขันนกการกุศล ระดมทุนค่าเดินทางเข้ากรุง เพื่อยื่นหนังสือต่อรัฐสภา ให้ปลดล็อกจากสัตว์ป่าคุ้มครอง และส่งเสริมเป็นสัตว์เศรษฐกิจชนิดใหม่

16 ตุลาคม 2566 ที่ สนามกีฬาทุ่งแจ้ง เขตเทศบาลนครตรัง จ.ตรัง เครือข่ายนกกรงหัวจุก จ.ตรัง จัดการแข่งขันนกกรุงหัวจุกเพื่อการกุศล โดยมีบรรดาคอนกกรงหัวจุก นำนกเข้าร่วมการแข่งขันประจัญเสียงประมาณ 500 ตัว ซึ่งนกที่ชนะเลิศจะได้รับรางวัลเงินสด 5,000 บาท พร้อมถ้วยรางวัล

โดยมีการตั้งกล่องรับบริจาคสนับสนุนปลดล็อกนกกรงหัวจุก รวมทั้ง จัดทำคิวอาร์โค้ดล่ารายชื่อผู้สนับสนุนปลดล็อกนกกรงหัวจุก เป้าหมายทั่วประเทศ 1 แสนรายชื่อ เฉพาะจังหวัดตรังตั้งเป้าประมาณ 2 หมื่นรายชื่อ เพื่อใช้สำหรับการยื่นปลดล็อกนกกรุงหัวจุกต่อไป

นายมานิตย์ อินทองปาน ประธานชมรมนกกรงแฟนซี จ.ตรัง บอกว่า กิจกรรมแข่งขันนกกรงหัวจุกครั้งนี้จัดขึ้นพิเศษ เพื่อระดมเงินทุนสำหรับให้ตัวแทนผู้เลี้ยงนกกรงหัวจุก ใช้ในการเดินทางเข้ายื่นหนังสือต่อรัฐสภาในวันที่ 18 ตุลาคมนี้ เพื่อให้ปลดล็อกนกกรุงหัวจุกออกจากบัญชีสัตว์ป่าคุ้มครองและให้เป็นสัตว์เศรษฐกิจชนิดใหม่ ที่ประชาชนสามารถเลี้ยงได้โดยไม่ผิดกฎหมายคุ้มครองสัตว์ป่า

ผู้เลี้ยงนกกรงหัวจุก ระดมทุนค่าเดินทางเข้ากรุง จี้ปลดล็อกพ้นสัตว์ป่าคุ้มครอง

เนื่องจากปัจจุบันนี้นกกรงหัวจุกเป็นสัตว์เศรษฐกิจที่นิยมเลี้ยงกันจำนวนมาก สร้างรายได้ให้กับชาวบ้าน สร้างเงินหมุนเวียนให้แก่ชุมชนสร้างรายได้ให้ประเทศ ชาวบ้านจำนวนมากลืมตาอ้าปากได้ นกกรงหัวจุกแต่ละตัวราคาหลักร้อยถึงหลักหมื่นบาท เช่น นกกรงหัวจุกแฟนซี ราคาตัวละ 10,000 บาท โดยเพาะเลี้ยงแม่ 1 ตัว ออกลูกได้ 7 ครอกต่อปี ครอกละ 3 ตัว ดังนั้น ใน 1 ปี ผลิตนกได้ 21 ตัว สามารถทำรายได้นับแสนบาทเข้าครอบครัว เป็นรายได้เสริมให้แก่ชาวบ้าน สร้างรายได้เลี้ยงครอบครัว ไม่ต้องห่วงว่านกจะสูญพันธุ์ ตรงกันข้ามสามารถเพิ่มประชากรนกด้วยซ้ำ

ทั้งนี้ ในธรรมชาตินกออกลูกได้เพียง 3 ครั้งต่อปี แต่ฟาร์มมาตรฐานที่เพาะเลี้ยงและขออนุญาตเพาะเลี้ยงถูกต้องสามารถออกลูกได้ถึง 7 ครั้งต่อปี สำหรับจังหวัดตรัง มีฟาร์มเพาะขยายพันธุ์นกกรงหัวจุกที่ขึ้นทะเบียนถูกต้องตามกฎหมายถึง 60 แห่ง แต่ยังมีเกษตรกรจำนวนมากที่เพาะเลี้ยงต้องการทำฟาร์ม แต่ขั้นตอนยุ่งยากมาก ต้องไปขั้นทะเบียนที่สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 5 (นครศรีธรรมราช) ซึ่งอยู่ไกล และค่าขึ้นทะเบียนตกตัวละ 800 บาท ถือว่าค่าธรรมเนียมแพง

ผู้เลี้ยงนกกรงหัวจุก ระดมทุนค่าเดินทางเข้ากรุง จี้ปลดล็อกพ้นสัตว์ป่าคุ้มครอง

ถ้าปลดล็อกก็จะแก้ปัญหากระทบกระทั่งระหว่างเจ้าหน้าที่ที่เข้าจับกุมกับชาวบ้านได้ และชาวบ้านสามารถเพาะพันธุ์ได้เสรี จะสร้างรายได้เสริมให้แก่ครัวเรือนได้อย่างงาม และมีรายได้หมุนเวียนในระบบอีกจำนวนมาก ทั้ง กรงนก ซี่กรงนก อาหารนก พืชเกษตรสำหรับเลี้ยงนก เป็นต้น

ส่วนที่หลายฝ่ายกังวลว่า หากปลดล็อกจะทำให้นกในธรรมชาติสูญพันธุ์ และจะทำให้นกเลือดชิดสูญพันธุ์ได้ ส่วนตัวมองว่าไม่เป็นความจริง เพราะปัจจุบันนี้นกที่นำมาแข่งขัน เป็นนกที่ได้จากฟาร์มเพาะเลี้ยงเกือบทั้งหมด เพราะว่ามีการคัดเลือกสายพันธุ์ที่ดีมาแล้ว ทั้งเสียงเพราะ มีจิตใจนักสู้ ทนทานต่อโรค และเลี้ยงดูเป็นอย่างดี ซึ่งนอกจากเป็นรายได้เลี้ยงครอบครัวแล้ว ยังมีการแข่งขัน นำเงินช่วยเหลือการกุศลต่างๆ มากมาย

อย่างไรก็ตาม ในพื้นที่มีการจับกุมชาวบ้าน โดยมีฝ่ายปกครองอำเภอหนึ่งในพื้นที่ เข้าจับกุมชาวบ้านที่นำนกไปแข่งตามราวแขวนนก โดยแจ้งข้อหาความผิดตาม พ.ร.บ.สัตว์ป่าคุ้มครอง โดยมีการยึดนกนำไปขังไว้รวมกัน เกิดปัญหานกปะปนกัน และชาวบ้านต้องเสียค่าปรับตัวละ 1,000 บาท จึงจะยอมคืนนกให้ บางคนถูกจับนับ 10 ตัว ต้องเสียค่าปรับนับหมื่นบาท หรือจ่ายมากกว่านั้น ทั้งที่ชาวบ้านบางส่วนมีใบอนุญาตเพาะเลี้ยงและครอบครองมาแสดง

ผู้เลี้ยงนกกรงหัวจุก ระดมทุนค่าเดินทางเข้ากรุง จี้ปลดล็อกพ้นสัตว์ป่าคุ้มครอง

แต่ทางเจ้าหน้าที่ไม่รับฟังและก็บอกกับชาวบ้านว่าเป็นนกเถื่อน ต้องจับกุมตามกฎหมาย ทำให้ผู้เลี้ยงนกวิตกกังวลและหวาดกลัวในการบังคับใช้กฎหมายของเจ้าหน้าที่เป็นอย่างมาก เมื่อไม่สามารถปลดล็อกได้ ซึ่งอาจเป็นช่องทางการทุจริต กลั่นแกล้ง จากเจ้าหน้าที่ได้ เพราะให้อำนาจดุลพินิจในการดำเนินการค่อยข้างมาก ขณะที่ขั้นตอนการพิจารณาขออนุญาตตามกฏหมายมีความล่าช้าและซับซ้อนซึ่งอาจเปิดช่องให้มีการเรียกรับผลประโยชน์ได้เช่นกัน