ขอนแก่นเตรียมแผนรับเอลนีโญ รับ “เศรษฐา” ลงพื้นที่ 8 ก.ย.นี้
ขอนแก่น เตรียมพร้อมรับ “นายกฯ เศรษฐา” ในการลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์ภัยแล้งและราคาพืชผลการเกษตร ในวันที่ 8 ก.ย.นี้ ด้านผู้ว่าฯ เตรียมเสนอแผนรับมือเอลนีโญ หลังคาดการณ์แล้งหนักไม่ต่ำกว่า 3 ปี พร้อมมาตรการรับมือแล้งด้วยการสร้างฝายแกนดินซีเมน กว่า 60 แห่ง ทั่วทั้งจังหวัด
เมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 6 กันยายน 2566 ที่ห้องประชุมแก่นภูมิ 2 ศาลากลางจังหวัดขอนแก่น นายไกรสร กองฉลาด ผู้ว่าราชการจังหวัดขอนแก่น พร้อมด้วย รองผู้ว่าราชการการจังหวัดขอนแก่น ปลัดจังหวัดขอนแก่น หัวหน้าส่วนราชการ และหน่วยงายที่เกี่ยวข้อง ร่วมประชุมเตรียมความพร้อมรับการลงพื้นที่ตรวจราชการของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง พร้อมด้วย ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์, นายไชยา พรหมา รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรฯ และ นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช ประธานคณะกรรมการนโยบายพรรคเพื่อไทย และว่าที่เลขาธิการนายกฯ ซึ่งมีกำหนดการเดินทางลงพื้นที่ จ.ขอนแก่น ในวันศุกร์ที่ 8 ก.ย. นี้
โดยการประชุมฯ ได้การมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเตรียมความพร้อมในด้านสถานที่ในการรองรับ รวมทั้งข้อมูลในการนำเสนอต่อนายกรัฐมนตรี ซึ่งมีกำหนดเยี่ยมชมเขื่อนอุบลรัตน์ และพบปะประชาชนที่อยู่ในพื้นที่ชลประทานและนอกพื้นที่ รับทราบปัญหาภัยแล้งผลกระทบจากเอลนีโญ และการบริหารจัดการน้ำ จากนั้นช่วงบ่ายจะดินทางไปพบปะประชาชนในพื้นที่ อ.น้ำพอง เพื่อพูดคุยปัญหาความเดือดร้อนและราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ พร้อมรับประทานอาหารกลางวัน ก่อนจะนำคณะจะเดินทางไป จ.อุดรธานีต่อไป
นายไกรสร กองฉลาด ผู้ว่าราชการจังหวัดขอนแก่น กล่าวว่า การลงพื้นที่มาตรวจราชการของนายกรัฐมนตรี พร้อมคณะ ในวันที่ 8 ก.ย.ที่จะถึงนี้ ทราบว่าเป็นการเดินทางมาแบบไม่เป็นทางการ เพื่อที่จะมาพบปะพี่น้องเกษตรกรและติดตามสถานการณ์ภัยแล้งจากเอลนีโญ มาติดตามเรื่องของพืชผลทางการเกษตร ส่วนเรื่องที่ทางจังหวัดขอนแก่นจะนำเสนอข้อมูลนั้น เป็นเรื่องของการแก้ไขสถานการณ์ในพื้นที่ว่าได้ทำอะไรไปแล้วบ้างในการรับมือกับเอลนีโญ เช่น ที่ผ่านมาได้ทำฝายชะลอน้ำบนภูเขา ฝายหินทิ้ง ฝายกระสอบทรายหลายแห่งด้วยกัน โดยเฉพาะเครื่องมือที่ทางจังหวัดดำเนินการเพื่อจัดการกับเอลนีโญ ก็คือ การทำฝายแกนดินซีเมน ซึ่งตั้งเป้าในการทำให้ได้ 60 กว่าแห่ง ดำเนินการเสร็จสิ้นไปแล้ว 57 แห่ง
โดยได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากภาคเอกชนเป็นหลัก รวมทั้งคณะสงฆ์ ในการระดมความร่วมมือ เพื่อให้ทันต่อสถานการณ์ภัยแล้ง ที่คาดว่าหลังจากเดือน ต.ค. เป็นต้นไป สถานการณ์จะยิ่งหนักขึ้น โดยข้อมูลจากผู้เชี่ยวชาญ ระบุว่า ภัยแล้งจะกินเวลายาวนานไปอีก 3 – 5 ปี ดังนั้นเรื่องการบริหารจัดการน้ำ จึงเป็นประเด็นสำคัญเร่งด่วนที่จะต้องเตรียมความพร้อมรับมือ
