
16 กรกฎาคม 2566 ได้เกิดเหตุ กลุ่มผู้แสวงบุญชาวไทย ที่เดินทางไปประกอบ พิธีฮัจญ์ ที่เมืองมักกะห์ ประเทศซาอุดีอาระเบีย ถูกบริษัททัวร์ประกอบการฮัจญ์ ใน จ.ยะลา ลอยแพที่เมืองมักกะห์ กว่า 500 คน ทั้งหมดถูกนำไปปล่อยไว้ ในจุดที่ห่างจากเมืองมักกะห์ และไม่มีการดูแล ทั้งเรื่องอาหารการกิน สภาพความเป็นอยู่
ปล่อยให้ผู้แสวงบุญ ต้องช่วยเหลือตัวเอง ตามมีตามเกิด และไปประกอบพิธีฮัจญ์ ที่มัสยิดใกล้ ๆ ที่พัก ที่พอจะไปได้ โดยในจำนวนนี้ มีผู้สูงอายุที่นั่งรถวีลแชร์ ร่วมคณะอยู่ด้วย โดยสภาพความเป็นอยู่ ไม่ได้เป็นไปตามที่บริษัทมีการพูดคุย ตกลงกับ “แซะห์” (ตัวแทนบริษัท ที่เปรียบเหมือน “หัวหน้ากรุ๊ปทัวร์”) และผู้แสวงบุญ ตั้งแต่ต้น
โดยก่อนจะออกเดินทาง ทั้งที่ผู้แสวงบุญ และแซะห์ กลุ่มนี้ ได้เสียค่าใช้จ่าย ไปแล้วกว่าคนละ 2.7 แสนบาท ซึ่งในส่วนผู้แสวงบุญ ที่พอจะมีเงิน ก็ร่วมกันไปหาที่อยู่กันเอง ขณะเดียวกันมีบางกลุ่ม ก็ไม่กล้าที่จะออกมาเรียกร้อง จึงทำให้มีผู้ที่ลงชื่อ ออกมาเรียกร้องขอความเป็นธรรม มีแค่ 21 คน
เบื้องต้น เจ้าหน้าที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้รับทราบข้อมูลแล้ว และกำลังพยายาม หาแนวทางเจรจากับบริษัท แต่ล่าสุดทางคณะที่เดือดร้อนยืนยันว่า ยังไม่มีหน่วยงานใดเข้ามาช่วยเหลือ มีแต่เจ้าหน้าที่มาขอข้อมูลเพิ่มเติมเท่านั้น
หนึ่งในคณะผู้แสวงบุญฮัจญ์ ที่ถูกลอยแพ กล่าวว่า การเดินทางเจอปัญหาตั้งแต่วันแรก จนถึงขณะนี้ ทั้งที่พวกตนและแซะห์ ได้จ่ายเงินให้ผู้ประกอบการ คือ ห้างหุ้นส่วนจำกัด อาบูฮานาน แทรเวิล ครบทั้งหมดแล้ว และทั้งหมดออกเดินทางจาก สนามบินหาดใหญ่ เมื่อวันที่ 20 มิ.ย. ที่ผ่านมา
แต่กลับต้องมาอยู่ที่นี้ ซึ่งห่างจากเมืองมักกะห์ กว่า 1 กิโลเมตร ทำให้ไม่สามารถประกอบพิธีได้ตามสมควร อีกทั้งไม่ได้รับการดูแล เกี่ยวกับอาหารการกิน จึงรู้สึกว่าไม่เป็นธรรม และถูกเอาเปรียบจาก บริษัทอาบูฮานาน แทรเวิล จึงอยากขอความช่วยเหลือภาครัฐ หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ให้ความช่วยเหลือโดยด่วน ให้พวกตนได้ไปพักใกล้กับมักกะห์ ตามที่บริษัทเคยแจ้งไวว่า จะเข้าพักที่โรงแรมตามที่ระบุใน ID Card
ถึงแม้บริษัทจะระบุว่า อาจมีการเปลี่ยนแปลงเป็นโรงแรม 3 - 5 ดาว หรือเทียบเท่า แต่ตึกที่พักจริงนั้น ไม่ได้มาตรฐานตามกำหนด ไม่ถูกสุขลักษณะ และทางเดินเข้าโรงแรม เป็นทางขึ้นเนิน รถวิ่งสวนไม่ได้ การใช้รถวีลแชร์ก็ลำบาก และระยะทางถึงมัสยิดอัลฮะรอม ประมาณ 1.5 กิโลเมตร ซึ่งหากเดินเท้าไปมัสยิด ใช้เวลาไปกลับชั่วโมงกว่า ทำให้ฮุจญาต (ผู้เดินทางไปทำฮัจญ์) ที่ อายุเยอะ 60 – 84 ปี ต้องละหมาดบริเวณที่พักเท่านั้น ไม่สามารถเดินทางไปละหมาด ที่มัสยิดได้ตามสมควร
"ตอนนี้ทุกคนนอนร้องให้ทุกคืน เพราะสิ่งที่บริษัทได้กระทำทั้งที่ได้เงิน 279,000 บาท และจ่ายล่วงหน้ากันมาก่อนกว่า 2 - 3 ปี ก่อนเกิดสถานการณ์โควิด ทุกคนไม่ได้เรียกร้องอะไร ไปมากกว่าสิทธิ์ที่สมควรจะได้รับตามที่คุยไว้"
ผู้แสวงบุญ รายเดิม กล่าวว่า ฮุจญาตบางคนไม่ได้รวย เก็บเงินทั้งชีวิต บางคนขายดิน เพื่อมาบ้านของพระเจ้าเพื่อประกอบพิธีฮัจญ์ ตอนนี้พวกตนไม่รู้ชะตากรรมเลยว่า ต้องทำอะไร จะไปที่ไหนต่อเมื่อไหร่ ไม่มีใครบอก บริษัทก็ติดต่อไม่ได้ แม้แต่แซะห์กับผู้ช่วย ก็ติดต่อบริษัทไม่ได้
ด้าน นายอดุล ประเสริฐดำ ผู้ช่วยแซะห์ กล่าวว่า ตนรู้สึกงงเหมือนกัน ที่โปรแกรมตลอดการเดินทาง ไม่ได้เป็นไปตามที่บริษัทแจ้งไว้ตั้งแต่ต้น วันแรกพวกตนมาถึง ก็มาอยู่ตรงนี้ พอเข้าวันที่ 3 อาหารก็หมด ตอนนี้ยังงงในสิ่งที่เกิดขึ้น บางคนได้ย้ายไปใกล้มักกะห์แล้ว แต่พวกตนไม่ได้ย้าย ก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไร นี้ก็ใกล้จะได้กลับแล้ว ก็ยังไม่รู้เลยว่า เกิดอะไร
การไปมัสยิดเป็นเรื่องใหญ่ เดินทางชั่วโมงกว่า อายุบางคนก็มาก บางคนขายที่ดินมา ก็อยากได้สิทธิ์ตามที่สมควร ตามที่บริษัทได้คุยกับแซะห์ คนที่เดือดร้อน 280 คน แต่ที่กล้าออกมาร้องเรียนแค่ 21 คน แซะห์จ่ายเงินให้บริษัทครบหมดแล้ว ตอนนี้ทุกคนยังไม่ได้รับความช่วยเหลือใด ๆ พวกเรายังรอการช่วยเหลือ จากทุกหน่วยงาน จากรัฐบาล จากทุกคน ขอได้โปรดช่วยเหลือพวกเราทุกคนที่นี้ด้วย
เจ้าหน้าที่จังหวัดยะลารายหนึ่ง กล่าวว่า บริษัทแห่งนี้มีปัญหาตั้งแต่ ก่อนออกเดินทางแล้ว เขามีทั้งหมด 548 คน ค้างค่าเครื่องบิน 11 ล้านกว่าบาท กว่าจะได้บิน ก็ต้องเครียร์ปัญหา จนถึงวินาทีสุดท้าย ทีแรกก็คิดว่า ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรแล้ว แต่ก็รู้สึกตกใจที่ได้มาทราบว่า มีผู้แสวงบุญถูกลอยแพ ตอนนี้ก็มีความพยายามประสานงาน กับหลายภาคส่วน ให้มาดูแลช่วยเหลือ
ขณะที่ ชาวไทย ซึ่งอยู่ ที่ในมักกะห์ รายหนึ่ง กล่าวว่า กลุ่มที่มีปัญหา 500 กว่าคน มีแซะห์ 40 คน พวกเขาถูกบริษัทลอยแพ ปัญหาอยู่ที่บริษัท ไม่ได้เกี่ยวกับแซะห์ เพราะแซะห์ จ่ายเงินให้บริษัทครบแล้ว ที่สำคัญ เจ้าของบริษัทไม่ได้เดินทางมาเอง ให้ภรรยากับลูกมาดูแล ซึ่งเป็นภรรยาคนที่เท่าไหร่ไม่แน่ใจ แต่ทราบข้อมูลแค่นี้ พอเกิดเรื่องภรรยาและลูก มาพักที่โรงแรมฮิลตัน ใกล้ ๆ มักกะห์ ได้แต่ร้องไห้
แหล่งข่าวอีกราย กล่าวว่า บริษัทดังกล่าว เจ้าของเคยมีประวัติลักษณะนี้มาตลอด เปิดบริษัทมาแล้วโดนแบล็คลิสต์ มาสามครั้งแล้ว ก็เปิดใหม่เป็นแบบนี้ทุกครั้ง หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ควรจะดำเนินการแก้ปัญหานี้ให้ได้ เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาเช่นนี้อีก เพราะปัญหานี้ไม่ได้มีครั้งนี้ครั้งแรก แต่มีมาตลอด เพียงแต่ไม่มีใครกล้ามาเรียกร้อง ขอความเป็นธรรม