จากกรณีเจ้าหน้าที่เทศบาลแห่งหนึ่ง นำรถกระเช้าสีส้มบรรทุกซากเสาไฟฟ้าสับปะรดไปขายที่ร้านรับซื้อของเก่า ถนนสุขสมบูรณ์ เขตเทศบาลเมืองประจวบคีรีขันธ์ เมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม ที่ผ่านมา จากนั้นเจ้าหน้าที่ใช้รถคันเดิมไปซื้อคืนเมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม ขณะที่หลายหน่วยงานภาครัฐได้ตรวจสอบหาเจ้าของงบประมาณที่จัดซื้อ เพื่อดำเนินการตามกฎหมายกับผู้เกี่ยวข้อง ที่นำเสาไฟไปขายร้านรับซื้อของเก่า
ข่าวที่เกี่ยวข้อง :
15 กรกฎาคม 2566 พ.ต.อ.ไพทูล พรมเขียน ผกก.สภ.เมืองประจวบคีรีขันธ์ กล่าวว่า หลังจาก จ.อ.เสกสรรค์ จันทร แกนนำเครือข่ายคุ้มครองผู้บริโภค เข้ามาลงบันทึกประจำวัน เสาไฟโคมไฟสับปะรด ราคาต้นละ 8 หมื่นบาท ถูกนำไปขายร้านรับซื้อของเก่า ตำรวจไปตรวจสอบหลักฐานเสาไฟสับปะรด 3 ต้น ที่บ่อบำบัดน้ำเสียด้านทิศใต้ หลังวัดธรรมิการาม พื้นที่เทศบาลเมืองประจวบฯ เพื่อแสวงหาข้อเท็จจริงว่า มีหน่วยงานใดเป็นเจ้าของเสาไฟดังกล่าว
พบว่ามี 1 ต้น ลักษณะคล้ายกับเสาที่มีการลักลอบนำไปขายที่ร้านของเก่า แต่จากการสอบถามเจ้าของร้านของเก่า อ้างว่ากล้องวงจรปิดชำรุด ทั้งนี้ ชุดสืบสวนอยู่ระหว่างการติดตามภาพจากกล้องวงจรปิดในเส้นทางที่คาดว่าจะมีการนำเสาไฟไปขาย
พ.ต.อ.ไพทูล กล่าวอีกว่า เพื่อความชัดเจน พนักงานสอบสวนได้ ทำหนังสือสอบถามเทศบาลเมืองประจวบฯ สำนักงานโยธาจังหวัด สำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬา ขอให้นำเอกสารหลักฐานตามระเบียบพัสดุของทางราชการ มาแสดงเป็นเจ้าของทรัพย์ จากนั้นจะต้องแจ้งความดำเนินคดีในข้อหาลักทรัพย์
เบื้องต้นผู้บริหารเทศบาลยังไม่ทราบว่า มีผู้ใดนำเสาไฟไปกองไว้ที่บ่อบำบัดน้ำเสีย โดยเร็ว ๆ นี้ หากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องยังไม่ตอบเป็นเอกสารเพื่อยืนยันแสดงตนเป็นเจ้าของเสาไฟสับปะรด เจ้าหน้าที่จะทำหนังสือทวงถามไปอีกครั้ง
จ.อ.เสกสรรค์ จันทร แกนนำเครือข่ายคุ้มครองผู้บริโภค จ.ประจวบคีรีขันธ์ กล่าวว่า จากตรวจสอบพบว่า เสาไฟสับปะรด ที่ถูกนำไปขายร้านรับซื้อของเก่า เป็นเสาไฟที่หักโค่นบริเวณสันเขื่อนด้านตะวันออกของเขาช่องกระจก นำไปขายได้เงิน 1,000 บาท เมื่อสื่อมวลชนเปิดโปงก็ไปขอซื้อเสากลับคืน โดยอ้างว่าลูกพี่สั่งให้นำรถราชการคันเดิมที่บรรทุกไปจำหน่าย นำเสาไปเก็บไว้ที่บ่อบำบัดน้ำเสีย ซึ่งผู้บริหารระดับจังหวัดและประชาชนส่วนใหญ่ทราบว่า มีเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานใดและมีผู้ใดอยู่เบื้องหลัง เพื่อช่วยกันปกป้องความผิดของเจ้าหน้าที่ที่อนุญาตให้นำรถของทางราชการไปใช้ก่อคดีลักทรัพย์
แกนนำเครือข่ายคุ้มครองผู้บริโภค จ.ประจวบคีรีขันธ์ กล่าวด้วยว่า คาดว่าจะไม่มีหน่วยงานไหนไปแจ้งดำเนินคดี และรอให้เรื่องเงียบ เนื่องจากจะเป็นความบกพร่องของการทำงานในหน่วยงานจัดซื้อ ที่ไม่มีทะเบียนคุมพัสดุ บนเสาไฟไม่มีการทำสัญลักษณ์ใด ๆ เพื่อแสดงหลักฐานว่ามีหน่วยงานใดรับผิดชอบ ทำให้เอกสารหลักฐานที่จะนำไปยื่นกับพนักงานสอบสวนไม่ครบถ้วน แสดงให้เห็นถึงเจตนา และข้ออ้างในการใช้งบทำโครงการด้านการท่องเที่ยวหลายสิบล้านบาท แล้วปล่อยทิ้งไม่มีการบำรุงรักษา ไม่เคยมี สตง.หรือหน่วยใดไปตรวจสอบทักท้วง เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของประชาชน
ด้าน นายธัญนพ ศรีสัมพุทธ ทนายความภาคประชาชน กล่าวว่า การตรวจสอบว่าเสาไฟสับปะรดเป็นของหน่วยงานใด สามารถทำได้ทันทีอย่างชัดเจน เนื่องจากเสาไฟติดตั้งในชุมชนเมือง ใกล้ศาลากลางจังหวัด ทุกหน่วยที่ใช้งบจัดซื้อต้องมีทะเบียนคุม เพื่อใช้งบซ่อมหากเสาไฟชำรุดเสียหาย หรือต้องทราบว่าปัจจุบันเสาไฟที่จัดซื้อมีกี่ต้น ส่วนเสาที่ชำรุด หน่วยงานที่จัดซื้อหรือได้รับการถ่ายโอนภารกิจจะต้องนำซากไปเก็บไว้เป็นหลักฐาน
เสาไฟที่สูญหายควรไปแจ้งลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐาน เพื่อรักษาทรัพย์สินของทางราชการ และนำเสาใหม่ไปเปลี่ยน แต่ทราบว่าการทำโครงการตลอดแนวชายหาดในรอบ 10 ปี ยังไม่เคยมีการเปลี่ยนเสาไฟและปรับปรุงระบบไฟที่ชำรุดแต่อย่างใด
นายธัญนพ กล่าวต่อไปว่า กรณีนี้มีพิรุธอย่างชัดเจน หลังจากพบเสาไฟถูกนำไปขายของเก่า นานกว่า 1 สัปดาห์ แต่ยังไม่มีหน่วยงานใดยอมรับว่าเป็นเจ้าของ และหากรอให้พนักงานสอบสวน สอบถามไปเป็นครั้งที่ 2 แล้ว ยังไม่หน่วยใดรับว่าเป็นเจ้าของเสาไฟ หรือมีการแจ้งความข้อหาลักทรัพย์ ก็จะรวบรวบพยานหลักฐานร้องเรียนคณะกรรมการ ป.ป.ช. ตามมาตรา 157 กับผู้บริหารหน่วยงานราชการ องค์กรปกครองท้องถิ่นที่เกี่ยวข้อง ทั้งระดับนโยบายและผู้ปฏิบัติงานต่อไป