
14 กรกฎาคม 2566 ความคืบหน้ากรณี เจ้าหน้าที่เทศบาลแห่งหนึ่ง นำรถกระเช้าสีส้มบรรทุกซาก เสาไฟฟ้าสับปะรด ที่ตั้งอยู่ริมอ่าวประจวบฯ ไปขายที่ร้านรับซื้อของเก่า เมื่อวันที่ 3 ก.ค. ที่ผ่านมา จากนั้นเจ้าหน้าที่ใช้รถคันเดิม ไปซื้อคืนเมื่อวันที่ 8 ก.ค. 66 ขณะที่หลายหน่วยงานภาครัฐ ได้ตรวจสอบหาเจ้าของงบประมาณที่จัดซื้อ เพื่อดำเนินการตามกฎหมายกับผู้เกี่ยวข้อง ที่นำเสาไฟไปขายร้านรับซื้อของเก่า
ข่าวที่เกี่ยวข้อง :
ทั้งนี้ เสาไฟฟ้าสับปะรด มีราคารวมทั้งสิ้นต้นละ 80,000 - 100,000 บาท ก่อสร้างมากกว่า 300 ต้น ติดตั้งบริเวณสันเขื่อนริมอ่าวประจวบฯ ตั้งแต่หน้ารั้วกองบิน 5 ถึงค่ายลูกเสือตาม่องล่าย ระยะทาง 8 กิโลเมตร ในเขตเทศบาลเมืองประจวบคีรีขันธ์
ล่าสุด นายอดิศักดิ์ น้อยสุวรรณ รองผู้ว่าราชการจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ กล่าวว่า ได้เร่งรัดให้นายกเทศมนตรี เทศบาลเมืองประจวบคีรีขันธ์ สอบสวนหาข้อเท็จจริง และรายงานจังหวัดทราบโดยด่วน ภายในวันนี้ (14 ก.ค.) เพื่อดำเนินคดีในข้อหาลักทรัพย์กับผู้เกี่ยวข้อง รวมทั้งชี้แจงรายละเอียด ในการใช้รถยนต์ของทางราชการ ตามที่สื่อมวลชนนำเสนอข้อมูล จากการนำเสาไฟไปจำหน่ายให้ร้านขายของเก่า และไปขอเสาไฟกลับคืน โดยผู้บริหารต้องเร่งรัดแก้ปัญหาเรื่องนี้ให้จบโดยเร็ว เนื่องจากประชาชนให้ความสนใจ
นายกมล แก้วเทศ นายกเทศมนตรี เทศบาลเมืองประจวบคีรีขันธ์ กล่าวว่า กรณีที่มีเสาไฟสับปะรด ล้มหน้าโรงแรมซีไซด์ ชุมชนหัวบ้าน ใกล้กองบิน 5 เมื่อวันที่ 3 ก.ค. ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่แจ้งว่า นำรถออกไปซ่อมเสาไฟ แต่ไม่ได้รายงานว่า มีเสาไฟหักโค่น
และหลังจากจังหวัดสั่งให้สอบข้อเท็จจริง ได้สั่งการให้นิติกรไปสอบถาม เจ้าของร้านรับซื้อของเก่า ได้รับแจ้งว่า จดจำบุคคลที่นำเสาไฟไปขาย และรถยนต์ที่นำเสาไฟไปขายไม่ได้ สำหรับกล้องจรปิดร้านของเก่า บอกว่าชำรุด ต้องให้ตำรวจทำการสอบสวน
จากการสอบถาม เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องทุกคน ปฏิเสธไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง ซึ่งเบื้องต้นจะรายงานให้จังหวัดรับทราบ ส่วนเสาไฟสับปะรดที่ไปกองทิ้ง อยู่ที่บ่อบำบัดน้ำเสีย มีลักษณะเดียวกันกับเสาไฟ ที่ร้านรับซื้อของเก่า ก็ไม่มีใครรับทราบ
นายกมล กล่าวว่า สำหรับกรณีที่ไม่มีหน่วยงานใด รับผิดชอบเสาไฟสับปะรด ขอเรียนว่าเทศบาล ยังไม่เอกสารหลักฐานในการรับมอบ ขณะที่บางหน่วยยืนยันเอกสารว่า มีเอกสารที่อดีตนายกเทศมนตรี ไปลงนามรับมอบ เมื่อตรวจสอบแล้วพบว่า ไม่มีในระบบงานสารบรรณ ไม่ได้ผ่านความเห็นชอบจากสภาฯ ก็ต้องชี้แจงตามข้อเท็จจริง
ส่วนการซ่อมเสาไฟสับปะรดที่ชำรุด ก็ถือเป็นหน้าที่ เพื่อไม่ทำให้ประชาชนเดือดร้อน ทั้งนี้เสาไฟที่ชำรุดโยธาจังหวัดบอกว่า ไม่ใช่เจ้าของ จึงนำไปเก็บไว้ที่บ่อบำบัด บางส่วนนำไปมอบให้สำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬา
จ่าอากาศเอกเสกสรรค์ จันทร แกนนำเครือข่ายคุ้มครองผู้บริโภค จ.ประจวบคีรีขันธ์ กล่าวว่า หลังจากตรวจสอบพบว่า มีเสาไฟสับปะรด 3 ต้น มีการนำไปกองไว้ริมบ่อบำบัดน้ำเสียด้านทิศใต้ ซึ่งเป็นพื้นที่ของเทศบาล มี 1 ต้นลักษณะคล้ายกับที่พบในร้านรับซื้อของเก่า
สำหรับ 2 ต้นที่กองอยู่บริเวณใกล้กัน มีสภาพเก่าและมีวัชพืชปกคลุม ต่อมาได้เข้าแจ้งความลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐาน เพื่อใช้เป็นเอกสารหลักฐาน ในการยื่นเรื่องร้องเรียนต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช.
ล่าสุดพนักงานสอบสวน อยู่ระหว่างการรวบรวมพยานหลักฐาน เพื่อหาเจ้าของหน่วยงานเจ้าของเสาไฟสับปะรด ซึ่งจะต้องพิสูจน์จากทะเบียนคุมพัสดุ แต่ทราบว่า เทศบาล โยธาจังหวัด สำนักงานจังหวัด ท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัด ไม่มีหน่วยงานใด มีหลักฐานในกรณีดังกล่าว
จ่าอากาศเอกเสกสรรค์ กล่าวว่า สำหรับเสาไฟที่บ่อบำบัดน้ำเสีย เทศบาลเมืองประจวบฯ ต้องหาข้อมูลว่า มีบุคคลใดนำไปกองทิ้งไว้ สำหรับเจ้าของร้านรับซื้อของเก่า จะนำหลักฐานจากการเสนอข่าวของสื่อมวลชน ไปแจ้งพนักงานสอบสวนเพิ่ม ให้ดำเนินการหาข้อเท็จจริงว่า มีพฤติกรรมรับซื้อของโจรหรือไม่
เนื่องจากเจ้าของร้านรับซื้อยอมรับว่า มีรถของทางราชการนำมาขาย มีการนำเสนอข่าวว่า รับเงินคืน 1,000 บาท จากผู้ขาย จากนั้นใช้รถของทางราชการ นำเสาไฟเก็บที่บ่อบำบัดน้ำเสีย กรณีนี้ตำรวจสามารถไล่ตรวจจากกล้องวงจรปิดในเส้นทาง ตั้งแต่ช่วงสายวันที่ 3 ก.ค. 66 และช่วงเช้าวันที่ 8 ก.คง 66
แฉอีกใช้งบสร้างสะพานไม่คุ้มค่า และไม่ทำตามขั้นตอนกฎหมาย
จ่าอากาศเอก เสกสรรค์ กล่าวว่า ที่อ่าวประจวบฯ สถานที่ท่องเที่ยวชื่อดัง นอกจากมีการปล่อยน้ำเสียลงชายหาด โดยไม่นำไปผ่านระบบการบำบัดนานกว่า 30 ปี มีเสาไฟราคาแพง แต่ใช้งานไม่คุ้มค่า ไม่ดูแลรักษา
ล่าสุดประชาชน และนักท่องเที่ยว เรียกร้องให้ตรวจสอบการใช้งบ ในการก่อสร้างสะพานสราญวิถี มีการใช้งบพัฒนาจังหวัด 24 ล้านบาท ออกแบบโดยโยธาจังหวัดตั้งแต่ปี 57 มีการก่อสร้างทับสะพานปลาเก่า ที่มีโครงสร้างรากฐานเดิม ที่สร้างไว้นานกว่า 20 ปี โดยไม่มีการทำรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อม การตรวจสอบความแข็งแรงของโครงสร้างเดิม และได้ผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการ สิ่งล่วงล้ำลำน้ำแล้วหรือไม่
แต่หลังมีการเปิดใช้งาน ไม่อนุญาตให้นำรถทุกชนิด ขึ้นไปบนสะพาน เนื่องจากโครงการเดิม มีสภาพชำรุดหลายจุด ซึ่งหากมีการใช้งบ 24 ล้านบาท เมื่อ 9 ปีก่อน ก็ควรทุบของเดิมทิ้ง แล้วสร้างใหม่ทั้งหมด จะมีความคุ้มค่ามากกว่าในระยะยาว